ผักแขยง/ผักกะออม ผักแขยงหรือผักกะออม เป็นผักพื้นบ้านของไทยที่มีประโยชน์และสรรพคุณทางยาโดดเด่น โดยมีลักษณะเป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่ม มีใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ปลายใบแหลมแผ่กว้าง มีดอกเป็นช่อกระจุกสีเหลืองอ่อน และมีฝักยาวรีเป็นเมล็ด ประโยชน์และสรรพคุณของผักแขยง ผักแขยงเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี2 วิตามินบี6 โพแทสเซียม และแคลเซียม นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย โดยมีประโยชน์และสรรพคุณดังนี้ ลดความดันโลหิตสูง: ผักแขยงมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆ ช่วยขจัดโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย จึงช่วยลดความดันโลหิตได้ ลดระดับน้ำตาลในเลือด: สารสกัดจากผักแขยงมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่ย่อยแป้งและน้ำตาล จึงช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลเข้ากระแสเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน บำรุงสายตา: ผักแขยงอุดมไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งจำเป็นสำหรับการมองเห็น ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันอาการตาแห้ง และโรคจอประสาทตาเสื่อม ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย: ผักแขยงมีกากใยสูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ บรรเทาอาการท้องผูก ต้านอนุมูลอิสระ: ผักแขยงมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างฟลาโวนอยด์และแคโรทีนอยด์ ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคมะเร็งและโรคหัวใจ
Tag Archives: สมุนไพร
ว่านเศรษฐีเรือนนอก ประโยชน์ ทางด้านสมุนไพรว่านเศรษฐีเรือนนอกมีสรรพคุณช่วยในการรักษาอาการเจ็บคอ แก้ไอ ขับเสมหะ โดยใช้ใบนำมาคั้นเป็นน้ำดื่ม ช่วยลดไข้ โดยใช้ใบประมาณ 1 กำมือนำมาต้มกับน้ำกิน หรือจะนำรากมาตำแล้วนำมาพอกแก้ไข้ก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังช่วยแก้อาการฟกช้ำ โดยตำใบแล้วนำมาพอกก็ช่วยบรรเทาอาการได้ ทางด้านความเชื่อ ชาวมอญโบราณมีความเชื่อกันว่าบ้านใดปลูกว่านเศรษฐีเรือนนอกไว้ประจำบ้านจะช่วยทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข มีโชคลาภ เงินทองไหลมาเทมา จึงนิยมปลูกไว้หน้าบ้านเพื่อเป็นสิริมงคล ความเป็นมงคล เนื่องจากว่านเศรษฐีเรือนนอกมีลักษณะใบที่เรียวเล็กเหมือนเข็ม จึงมีความเชื่อกันว่าจะช่วยป้องกันสิ่งอัปมงคล เภทภัย อัคคีภัยได้ จึงนิยมปลูกไว้หน้าบ้านเพื่อต้านพลังร้าย วิธีปลูก ดินปลูก ควรใช้ดินร่วนผสมใบก้ามปู แกลบ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม วางกระถางวางกระถางไว้ในที่แดดรำไร การรดน้ำ รดน้ำวันละ 1 ครั้ง หรือเมื่อดินเริ่มแห้ง การปุ๋ย หมั่นใส่ปุ๋ยเดือนละ 1 ครั้ง การขยายพันธุ์ สามารถขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อหรือปักชำต้น
โสน โสน เป็นพืชดอกที่มีสรรพคุณทางยาและนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cassia fistula Linn. อยู่ในวงศ์ Fabaceae มีถิ่นกำเนิดในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ โสนเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงได้ถึง 10 เมตร ลำต้นเกลี้ยงเกลา ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 4-8 คู่ ปลายใบมนหรือแหลม ดอกออกเป็นช่อกระจะที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีเหลืองสดใส ผลเป็นฝักแบนยาว 30-60 เซนติเมตร ภายในมีเมล็ดสีน้ำตาลดำจำนวนมาก สรรพคุณของโสน โสนมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย ทั้งดอก ใบ และฝัก โดยใช้ในตำรับยาไทยและอินเดียมานานหลายศตวรรษ แก้ท้องผูก: ฝักโสนมีสารแอนทราคโนน (anthraquinone) ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยแก้ท้องผูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบายน้ำเหลือง: รากและใบโสนมีฤทธิ์ระบายน้ำเหลือง ช่วยลดอาการบวมน้ำ แก้ไข้: ดอกโสนมีฤทธิ์ลดไข้และต้านการอักเสบ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร: สารสกัดจากใบโสนช่วยปกป้องเยื่อบุกระเพาะอาหารจากการอักเสบและการเกิดแผล รักษาโรคผิวหนัง: น้ำจากใบโสนสามารถใช้ทาภายนอกเพื่อรักษาโรคผิวหนังต่างๆ เช่น ผื่นคันและแผลพุพอง การปลูกโสน โสนเป็นพืชที่ปลูกง่าย สามารถเจริญเติบโตได้ในดินทุกประเภทที่มีการระบายน้ำดี ชอบแดดจัด ควรปลูกในช่วงฤดูฝน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีน้ำมาก […]
ผักเคล (curly Kale) ราชินีผักใบเขียว ผักเคล (Curly Kale) เป็นผักตระกูลกะหล่ำที่มีลักษณะใบหยิกสีเขียวจัด จึงได้ชื่อว่า Curly Kale ซึ่งเป็นผักที่มีความทนทานและปลูกได้ง่าย ผักเคลนั้นได้รับการขนานนามว่าเป็น ราชินีผักใบเขียว เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก คุณค่าทางโภชนาการ ผักเคลอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ เช่น วิตามินเค (Vitamin K) วิตามินซี (Vitamin C) วิตามินเอ (Vitamin A) แคลเซียม (Calcium) ธาตุเหล็ก (Iron) ไฟเบอร์ (Fiber) โปรตีน (Protein) นอกจากนี้ ผักเคลยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย สรรพคุณ ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่สูง ผักเคลจึงมีสรรพคุณที่หลากหลายต่อสุขภาพ เช่น ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง บำรุงกระดูกและข้อ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยลดน้ำหนัก วิธีปลูก ผักเคลเป็นพืชที่ปลูกง่ายและสามารถปลูกได้ทั้งในกระถางหรือนแปลงปลูก โดยมีวิธีการดังนี้ เตรียมดิน ดินที่เหมาะสมสำหรับการปลูกผักเคลคือ ดินที่มีการระบายน้ำที่ดี อุดมด้วยอินทรียวัตถุ และมีค่า pH […]
เกาลัด เกาลัดเป็นผลไม้ในวงศ์ Fagaceae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับโอ๊คและบีช มีเปลือกหนาและเป็นหนาม เมื่อสุกแล้ว เปลือกจะแตกออกเผยให้เห็นเนื้อสีน้ำตาลอ่อนที่มีรสชาติหวานและมัน ประโยชน์ต่อสุขภาพของเกาลัด อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ: เกาลัดอุดมไปด้วยวิตามิน C และสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น กรดแกะลลิก ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ดีต่อสุขภาพหัวใจ: เกาลัดมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งช่วยลดความดันโลหิตและเสริมสร้างสุขภาพของหลอดเลือดหัวใจ ช่วยในการย่อยอาหาร: เกาลัดเป็นแหล่งของเส้นใยอาหารที่ดี ซึ่งช่วยให้ระบบย่อยอาหารแข็งแรงและช่วยลดการเกิดอาการท้องผูก เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: เกาลัดมีวิตามิน B6 และโฟเลต ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่จำเป็นสำหรับระบบภูมิคุ้มกัน สรรพคุณของเกาลัด เป็นยาสมานแผล: เนื้อของเกาลัดสามารถใช้เป็นยาสมานแผลเพื่อช่วยให้แผลและรอยถลอกหายเร็วขึ้น ลดอาการบวม: ใบเกาลัดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งช่วยบรรเทาอาการบวมและปวดเมื่อย รักษาริดสีดวงทวาร: เปลือกของเกาลัดสามารถใช้เป็นยาสมานแผลและต้านการอักเสบเพื่อช่วยในการรักษาริดสีดวงทวาร การปลูกเกาลัด สภาพดิน: เกาลัดเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีการระบายน้ำดีและเป็นกรดเล็กน้อย (pH 5.5-6.5) สถานที่: เกาลัดต้องการแสงแดดเต็มที่หรือร่มเงาบางส่วน การปลูก: ปลูกต้นเกาลัดจากเมล็ดหรือกิ่งตอน การดูแล: รดน้ำต้นเกาลัดอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน และใส่ปุ๋ยด้วยปุ๋ยสำหรับต้นไม้ผลเป็นประจำ
กระชายดำ กระชายดำ (black galingale) เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งในวงศ์ขิง มีลักษณะคล้ายกระชายทั่วไปแต่มีลำต้นอ้วนกว่าและหัวมีสีดำ นิยมใช้หัวของกระชายดำมาทำเป็นยาสมุนไพร สรรพคุณของกระชายดำ กระชายดำมีสรรพคุณทางยาหลายประการ เช่น บำรุงร่างกาย ช่วยเพิ่มพลังและความแข็งแรง ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยขับลมในกระเพาะและลำไส้ ช่วยขับปัสสาวะ ลดอาการปัสสาวะขัด ช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ การปลูกกระชายดำ การปลูกกระชายดำสามารถทำได้โดยการใช้เหง้าหรือหัวของกระชายดำ โดยเลือกหัวที่สมบูรณ์ ไม่มีรอยช้ำหรือโรค เนื่องจากกระชายดำเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยและมีความชื้นสูง ขั้นตอนการปลูกมีดังนี้ เตรียมดินโดยขุดหลุมให้ลึกประมาณ 10-15 เซนติเมตร ให้มีความกว้างประมาณ 20-30 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยมูลสัตว์ วางเหง้าหรือหัวของกระชายดำลงในหลุม ให้ห่างกันประมาณ 10-15 เซนติเมตร กกลบเหง้าหรือหัวด้วยดินร่วนซุย แล้วกลบดินให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม ช่วงแรกควรรดน้ำทุกวัน ในช่วงฤดูร้อนอาจจะรดน้ำ 2 ครั้งต่อวัน เมื่อต้นกระชายดำเจริญเติบโตแล้ว ให้ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยมูลสัตว์เป็นระยะๆ เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ของต้นพืช กระชายดำจะโตเต็มที่และสามารถขุดหัวได้หลังจากปลูกไปประมาณ 8-10 เดือน
ต้นสนสองใบ (Merkus Pine) ต้นสนสองใบ เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่มีความสูงได้ถึง 50 เมตร จัดอยู่ในวงศ์ Pinaceae มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ในประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ใบเป็นใบเดี่ยว รูปเข็ม แหลม ยาว 10-20 เซนติเมตร เรียงตัวเป็นเกลียวรอบกิ่ง ออกดอกเป็นแบบแยกเพศ แยกต้น ดอกตัวผู้เกิดที่ปลายยอดเป็นรูปกระบอก สีเหลือง ดอกตัวเมียเกิดใต้ปลายยอดเป็นกลุ่มซ้อนกัน ประโยชน์ของต้นสนสองใบ ไม้เนื้ออ่อน: เนื้อไม้ของต้นสนสองใบมีสีขาวอมเหลือง เนื้อละเอียด มีความแข็งแรงทนทาน นิยมนำมาแปรรูปเป็นไม้ก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องดนตรี และของใช้ต่างๆ กระดาษ: ต้นสนสองใบเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมผลิตกระดาษ เนื่องจากเนื้อไม้มีเส้นใยเซลลูโลสสูง เยื่อกระดาษ: เยื่อกระดาษที่ได้จากต้นสนสองใบมีคุณภาพสูง สามารถนำไปผลิตเป็นกระดาษสำหรับทำหนังสือ กระดาษห่อของขวัญ หรือกระดาษชำระ สารระเหย: ใบและเปลือกต้นสนสองใบมีสารระเหยที่มีกลิ่นหอม สดชื่น ช่วยผ่อนคลายและบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก ไอ โดยนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยหรือใช้ผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องหอม การบำบัดน้ำ: สารสกัดจากต้นสนสองใบมีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษและโลหะหนัก จึงสามารถนำมาใช้ในการบำบัดน้ำเสีย
ผำ/ไข่ผำ ผำ หรือ ไข่ผำ เป็นเห็ดป่าชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นก้อนกลมๆ เนื้อนุ่ม สีขาวหรือสีครีม มีเส้นใยละเอียด อายุอ่อนจะห่อหุ้มด้วยเยื่อหุ้มที่เป็นรากสีขาวหรือสีน้ำตาล เมื่อแก่เยื่อหุ้มจะแตกและหลุดออกไป การใช้ไข่ผำ ด้านอาหาร: ไข่ผำเป็นวัตถุดิบอาหารยอดนิยม สามารถรับประทานได้ทั้งสด ลวก ผัด ทอด และตุ๋น ด้านยา: ผำมีฤทธิ์เย็น แก้ไข้ แก้หวัด ลดความดันโลหิต และช่วยขับเสมหะ ด้านความงาม: ผำมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส สรรพคุณไข่ผำ ช่วยบำรุงร่างกาย โดยเฉพาะผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยขับเสมหะ แก้ไอ แก้เจ็บคอ ช่วยบำรุงประสาท ทำให้จิตใจสงบ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
เห็ดเผาะ เห็ดเผาะ (Tuber melanosporum) เป็นเห็ดที่มีขนาดเล็กกว่าเห็ดถอบ มีเปลือกสีดำเข้มและเนื้อสีขาวหรือสีเทา เห็ดเผาะมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักชิมอาหาร เนื่องจากรสชาติที่เข้มข้นและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ เห็ดเผาะมักใช้เป็นเครื่องปรุงรสในอาหารจานต่าง ๆ เช่น พาสต้า ซุป และสตูว์ เห็ดถอบ เห็ดถอบ (Tuber aestivum) มีขนาดใหญ่กว่าเห็ดเผาะ มีเปลือกสีน้ำตาลเข้มถึงดำ และเนื้อสีขาวหรือสีเหลือง เห็ดถอบมีกลิ่นที่อ่อนกว่าเห็ดเผาะเล็กน้อย และมีรสชาติที่หอมหวานกว่า เห็ดถอบมักใช้เป็นเครื่องปรุงรสในอาหารจานต่าง ๆ เช่น ริซอตโต พิซซ่า และไข่เจียว
เงาะ (Rambutan) เงาะ เป็นผลไม้เขตร้อนที่อยู่ในวงศ์ Sapindaceae มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะเด่นของเงาะคือมีเปลือกที่มีหนามแหลมคล้ายขนเม่น เนื้อในมีรสชาติหวาน ฉ่ำ และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เงาะโรงเรียน เงาะโรงเรียนเป็นพันธุ์เงาะที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ในประเทศไทย โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรนครสวรรค์ กรมวิชาการเกษตร เมื่อปี พ.ศ. 2538 มีลักษณะเด่นคือ มีขนาดผลใหญ่ เนื้อเยอะ รสชาติหวานกรอบ เนื้อแน่น และเปลือกล่อนง่าย เงาะโรงเรียนเหมาะสำหรับการปลูกในดินร่วนซุยหรือดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี ต้องการแสงแดดจัดตลอดวัน ช่วงปลูกที่เหมาะสมคือช่วงต้นฤดูฝน โดยขุดหลุมปลูกขนาด 50 x 50 x 50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก แล้วกลบดินกดแน่น โดยให้ต้นสูงกว่าระดับดินเล็กน้อย จากนั้นรดน้ำให้โชกและพรางแสงแดดประมาณ 1 เดือน การปลูกเงาะ การปลูกเงาะให้ได้ผลผลิตที่ดีจำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่ในทุกขั้นตอน ดังนี้ การเตรียมพื้นที่ปลูก: เลือกพื้นที่ที่มีความลาดเอียงไม่เกิน 10% ดินร่วนซุยหรือดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี แสงแดดจัดตลอดวัน และมีแหล่งน้ำเพียงพอตลอดปี การปลูก: ขุดหลุมปลูกขนาด 50 x 50 x 50 […]