ข้าวเหนียวดำ / ข้าวก่ำ ข้าวเหนียวดำ หรือที่เรียกว่าข้าวก่ำ เป็นข้าวชนิดหนึ่งที่มีเปลือกสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ และมีธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ข้าวเหนียวดำมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอวัย บำรุงสมอง และบำรุงร่างกายโดยรวม สรรพคุณของข้าวเหนียวดำ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคสมองเสื่อม บำรุงสมอง ข้าวเหนียวดำมีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยปกป้องเซลล์สมองและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง บำรุงร่างกายโดยรวม ข้าวเหนียวดำยังอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามินอี ธาตุเหล็ก และไฟเบอร์ การปลูกข้าวเหนียวดำ การปลูกข้าวเหนียวดำคล้ายคลึงกับการปลูกข้าวทั่วไป สามารถปลูกได้ทั้งในนาและบนที่ดอน ขั้นตอนการปลูกข้าวเหนียวดำ เตรียมแปลง ไถพรวนแปลงและปรับระดับให้เรียบ หว่านเมล็ด หว่านเมล็ดข้าวเหนียวดำให้ทั่วแปลง ในอัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่น้ำ ใส่ให้ท่วมแปลงประมาณ 5 เซนติเมตร ดูแลแปลง คอยดูแลกำจัดวัชพืชและใส่ปุ๋ยตามความเหมาะสม เก็บเกี่ยว ข้าวเหนียวดำจะแก่เก็บเกี่ยวได้ในระยะ 120-130 วันหลังหว่าน
Tag Archives: ข้าว
สนสองใบ (Merkus Pine) สนสองใบ หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Pinus merkusii Jungh. & de Vriese เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ จัดอยู่ในวงศ์สน (Pinaceae) ลักษณะเด่น มีเปลือกต้นสีน้ำตาลแดงแตกเป็นสะเก็ดแบบไม่เป็นระเบียบ แต่ละก้อนมีร่องเล็กๆ เหมือนเกล็ดปลา ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับเวียนรอบกิ่ง มีลักษณะแบนเป็นตุ่มสั้นๆ คล้ายเข็ม มี 2 ใบต่อชุด ผิวใบสากเป็นครีบ 2 ข้าง ดอกเป็นดอกแยกเพศ อยู่บนต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้เป็นแท่งตรงยาวสีเหลืองอ่อนออกอยู่ปลายยอด ดอกเพศเมียรูปไข่กลับสีชมพู ออกอยู่ใกล้ปลายยอดเช่นกัน ผลเป็นแบบโคน มีเกล็ดสีน้ำตาลแข็ง มีเมล็ดอยู่ภายใน ประโยชน์และสรรพคุณของสนสองใบ สนสองใบเป็นไม้ที่มีประโยชน์และสรรพคุณที่หลากหลายทั้งทางด้านอุตสาหกรรมและการแพทย์ ประโยชน์ทางด้านอุตสาหกรรม เนื้อไม้ของสนสองใบมีน้ำหนักประมาณ 450-660 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร มีความแข็งแรง ทนทาน เนื้อไม้ละเอียด ผิวเรียบ สีแดงเรื่อๆ จึงนิยมนำมาใช้ทำโครงสร้างบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องดนตรี และของใช้ต่าง ๆ ยางสนสามารถนำมาใช้ทำน้ำมันสน วานิช และกาว […]
ต้นหมี่/หมี่เหม็น ต้นหมี่หรือที่นิยมเรียกว่าต้นหมี่เหม็น เป็นพืชพื้นเมืองของไทย พบได้ทั่วทุกภาค มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Clerodendrum inerme และชื่ออื่น ๆ ได้แก่ ดาวดึง, กระดูกไก่, ก้างปลา ต้นหมี่จัดเป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 5 เมตร ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นเรียบสีเทาอ่อน กิ่งอ่อนมีลักษณะเป็นเหลี่ยม มีปล้องชัดเจน ใบหมี่มีลักษณะเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน รูปร่างรีแกมใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบหยักเว้าลึกหลายแฉก ใบมีสีเขียวเข้มเป็นมันวาว หากขยี้ใบจะมีกลิ่นเหม็นเฉพาะตัว ประโยชน์ของต้นหมี่ ใช้เป็นสมุนไพร: ราก: ช่วยแก้ไข้ ถอนพิษ แก้ปวดเมื่อย แก้ท้องเสีย ใบ: ช่วยแก้อาการเจ็บคอ แก้ช้ำบวม แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ปลูกเป็นไม้ประดับ: ด้วยรูปร่างและสีสันของใบที่สวยงาม ทำให้ต้นหมี่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในบ้านและสวน สรรพคุณของต้นหมี่ แก้ไข้: ใช้รากหมี่ 10-15 กรัม ต้มกับน้ำ 3-4 แก้ว ดื่มครั้งละ 1 แก้ว […]
เห็ดนางฟ้า เห็ดนางฟ้า เป็นเห็ดที่รับประทานได้ มีลักษณะดอกกลม แบน สีน้ำตาลอ่อน เนื้อนุ่ม ละมุน มีกลิ่นหอม นิยมนำมารับประทานเป็นผักเคียง จิ้มกับน้ำพริก หรือปรุงอาหารในเมนูต่างๆ เช่น ผัดเห็ดน้ำมันหอย แกงเลียง เห็ดนางฟ้ามีคุณค่าทางอาหารสูงอุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ การเพาะเห็ดนางฟ้า การเพาะเห็ดนางฟ้าเป็นอีกหนึ่งวิธีการเกษตรที่ได้รับความนิยม เนื่องจากสามารถทำได้ง่ายและมีต้นทุนต่ำ โดยมีขั้นตอนดังนี้ เตรียมวัสดุเพาะ วัสดุเพาะเห็ดนางฟ้ามีหลายประเภท เช่น ฟางข้าว ขี้เลื่อยไม้ยางพารา เศษไม้โอ๊ค ข้าวโพด หรือแกลบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความสะดวกของผู้เพาะ โดยวัสดุเพาะควรมีเนื้อหยาบ ไม่แน่นทึบ ซึมซับน้ำได้ดี และสามารถกระจายความชื้นได้อย่างทั่วถึง ต้มวัสดุเพาะ นำวัสดุเพาะที่เตรียมไว้แช่น้ำสะอาดทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นเทวัสดุเพาะลงในภาชนะสำหรับต้ม เช่น ถัง หรือหม้อขนาดใหญ่ เติมน้ำสะอาดลงไปให้ท่วมวัสดุเพาะแล้วต้มให้เดือดประมาณ 1-2 ชั่วโมง ขั้นตอนนี้จะช่วยฆ่าเชื้อโรคและก่อให้เกิดสารอาหารเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเส้นใยเห็ด ผสมเชื้อเห็ด เมื่อวัสดุเพาะเย็นลงแล้ว นำเชื้อเห็ดนางฟ้านำมาผสมวัสดุเพาะโดยใช้สัดส่วน เชื้อเห็ด 1 ส่วนต่อวัสดุเพาะ […]
ส้มโอ (pomelo) ส้มโอ เป็นผลไม้รสเปรี้ยวที่มีรูปร่างกลม ผิวสีเขียวหรือเหลือง เนื้อสีชมพูหรือขาว มีเมล็ดขนาดใหญ่ สรรพคุณ อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย มีเส้นใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี มีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันโรคหัวใจ การปลูกส้มโอ การเตรียมดิน เลือกดินร่วนซุย ที่มีการระบายน้ำดี ปรับสภาพดินโดยการไถพรวนและใส่ปุ๋ยคอก การปลูก ขุดหลุมกว้างและลึกประมาณ 50 เซนติเมตร ก ลบดินและรดน้ำให้ชุ่ม การดูแลรักษา การให้น้ำ: รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน การใส่ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยเคมีตามอายุของต้น การตัดแต่งกิ่ง: ตัดแต่งกิ่งแห้ง กิ่งที่ไม่สมบูรณ์ และกิ่งที่หนาแน่นเกินไป การกำจัดวัชพืช: กำจัดวัชพืชบริเวณโคนต้น เพื่อป้องกันการแย่งอาหารและน้ำ การเก็บเกี่ยว ส้มโอจะให้ผลผลิตเมื่อมีอายุประมาณ 3-4 ปี เก็บเกี่ยวเมื่อผลส้มโอกลับเป็นสีเหลืองหรือเขียวอมเหลือง ตัดขั้วให้เป็นก้านยาวเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา
ชวนชม ชวนชม เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กที่มีถิ่นกำเนิดในแถบแอฟริกาตะวันออก เป็นไม้ผลัดใบที่มีความสูงได้ถึง 3 เมตร ลำต้นมีสีน้ำตาลถึงสีเทา ใบเป็นใบเดี่ยวมีลักษณะเป็นแผ่นบางเป็นมัน มีสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกชวนชมมีหลายสี เช่น สีขาว แดง ชมพู ม่วง ลักษณะดอกเป็นดอกรวมที่ประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ดอกชวนชมมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกตลอดปี bột rau xanh Nhật Bản การปลูกชวนชม ชวนชมเป็นไม้ที่ปลูกง่ายไม่ต้องการการดูแลมากนัก เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้ประดับในสวนหรือปลูกในกระถางประดับภายในบ้าน โดยทั่วไปแล้วชวนชมสามารถปลูกได้ในดินร่วนระบายน้ำได้ดีและมีความเป็นกรดเล็กน้อยถึงปานกลาง นอกจากนี้ยังควรปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน การรดน้ำชวนชมควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอแต่ไม่ควรให้น้ำมากเกินไปเพราะจะทำให้รากเน่า สำหรับการให้ปุ๋ยควรใช้ปุ๋ยสูตรเสมอเช่นสูตร 15-15-15 โดยให้ปุ๋ยทุกๆ 1-2 เดือนเพื่อช่วยให้ชวนชมเจริญเติบโตได้ดีและออกดอกดก การขยายพันธุ์ชวนชมสามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ดหรือการปักชำกิ่ง โดยทั่วไปแล้วการเพาะเมล็ดจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนกว่าเมล็ดจะงอก ส่วนการปักชำกิ่งจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์กว่ากิ่งจะติดราก ชวนชมเป็นไม้ประดับที่สวยงามและเป็นที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย หากคุณกำลังมองหาไม้ประดับที่ปลูกง่ายและไม่ต้องการการดูแลมากนัก ชวนชมก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ
บานชื่น (Kochia) บานชื่น เป็นไม้ประดับที่สวยงาม มีลักษณะเป็นไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านสาขาได้ดี ใบมีลักษณะคล้ายรูปใบหอก เรียงสลับกัน ลักษณะนูนขึ้นตามแนวเส้นกลางใบ ดอกมีขนาดเล็ก สีเขียวอมเหลือง ออกเป็นช่อที่ยอด ลักษณะของดอกจะเป็นกลมๆ คล้ายกำมะหยี่ และจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อแก่ trà giảm cân Nhật การปลูกบานชื่น การเพาะเมล็ด เตรียมดินโดยผสมดินร่วนทรายกับปุ๋ยหมักในอัตรา 2:1 หว่านเมล็ดบานชื่นลงในดิน แล้วกลบด้วยดินบางๆ รดน้ำให้ชุ่มแล้วนำไปวางในที่ร่มที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี การย้ายกล้า เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ ให้ย้ายลงแปลงปลูก โดยให้ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร การดูแลรักษา รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการปลูก ใส่ปุ๋ยทุก 15 วัน โดยใช้ปุ๋ยสูตร 16-16-16 กำจัดวัชพืชบริเวณแปลงปลูก ตัดแต่งกิ่งที่ไม่สมบูรณ์ออกเพื่อให้ต้นบานชื่นมีทรงพุ่มที่สวยงาม
ผักเคล (Curly Kale): ราชินีผักใบเขียว ผักเคล (Curly Kale) จัดเป็นผักใบเขียวที่อัดแน่นไปด้วยสารอาหารหลากหลาย จนได้รับการยกย่องให้เป็น “ราชินีผักใบเขียว” ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่สูง และสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย bột rau xanh Nhật Bản คุณค่าทางโภชนาการ ผักเคลอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย เช่น วิตามินเค: สารอาหารที่สำคัญสำหรับการแข็งตัวของเลือดและสุขภาพของกระดูก วิตามินซี: สารต้านอนุมูลอิสระที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินเอ: วิตามินที่จำเป็นสำหรับการมองเห็น สุขภาพของผิวหนัง และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน แคลเซียม: แร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับสุขภาพของกระดูกและฟัน โพแทสเซียม: แร่ธาตุที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันโลหิตและการทำงานของกล้ามเนื้อ ไฟเบอร์: สารอาหารที่มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และส่งเสริมสุขภาพระบบย่อยอาหาร สรรพคุณทางยา ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่สูง ผักเคลจึงมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย เช่น ต้านมะเร็ง: สารต้านอนุมูลอิสระในผักเคลมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับอนุมูลอิสระที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง บำรุงสุขภาพหัวใจ: ผักเคลอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยในการควบคุมความดันโลหิตและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด เสริมสร้างสุขภาพกระดูก: ผักเคลเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี ซึ่งจำเป็นสำหรับการรักษาสุขภาพของกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน ป้องกันโรคตา: ผักเคลอุดมไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคตาต่างๆ เช่น ต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อม […]
ลูกยอ/ใบยอ ลูกยอ หรือ ใบยอ เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านที่นิยมใช้ในการแพทย์แผนไทย โดยทุกส่วนของต้นยอตั้งแต่ราก ยอด ใบ ลูก สามารถนำมาใช้เป็นยาได้ มีสรรพคุณมากมาย ทั้งช่วยลดน้ำตาลในเลือด บำรุงหัวใจ ป้องกันโรคมะเร็ง และต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส น้ำลูกยอ น้ำลูกยอได้จากการนำผลยอสุกมาคั้นเอาแต่น้ำ มีรสชาติขมอมเปรี้ยวเล็กน้อย อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน แร่ธาตุ และสารพฤกษเคมีต่างๆ ที่มีสรรพคุณทางยาเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย สรรพคุณยอ ลดน้ำตาลในเลือด: ยอมีสารออกฤทธิ์ที่ช่วยเพิ่มการหลั่งอินซูลิน ลดการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสในลำไส้ จึงมีสรรพคุณช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน บำรุงหัวใจ: ยอมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ลดคลอเรสเตอรอลในเลือด ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ และลดความดันโลหิต ป้องกันโรคมะเร็ง: ยอมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารพฤกษเคมีที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ลดการอักเสบในร่างกาย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส: ยอมีสารประกอบต่างๆ ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ช่วยป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด โรคทางเดินหายใจ บำรุงร่างกาย: ยออุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงเลือด ลดความอ่อนเพลีย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ดอกดิน สมุนไพรสารพัดประโยชน์ ดอกดินเป็นไม้ล้มลุกในวงศ์ดอกดิน (Cannaceae) พบกระจายทั่วไปในเขตร้อนและกึ่งร้อน โดยในประเทศไทยพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งดอกดินมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น เช่น กะดิน บัวดิน และต้นดิน คุณสมบัติทางเคมีของดอกดิน ดอกดินมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญหลายชนิด ได้แก่ แทนนิน (Tannins) แอนโทไซยานิน (Anthocyanins) แคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) สเตียรอยด์ (Steroids) trà giảm cân Nhật สรรพคุณทางยาของดอกดิน ดอกดินมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย ดังนี้ ช่วยต่อต้านมะเร็ง: มีการศึกษาพบว่าดอกดินมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งปอด บรรเทาอาการไอ: ดอกดินมีฤทธิ์ลดอาการอักเสบของระบบทางเดินหายใจ ช่วยบรรเทาอาการไอและระคายคอ ลดไข้: ดอกดินมีฤทธิ์ระบายความร้อน ช่วยลดไข้ได้ แก้โรคข้อกระดูก: ดอกดินมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการปวดและบวมของข้อกระดูก การใช้ดอกดิน ในการใช้ดอกดินเพื่อรักษาโรคนั้น สามารถนำมาใช้ได้หลายวิธี เช่น รับประทาน: นำดอกดินมาต้มหรือนึ่งกับข้าว ซึ่งมีงานวิจัยพบว่าการหุงนึ่งข้าวกับดอกดินจะเพิ่มคุณค่าสารอาหารและมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าการหุงข้าวเปล่า ต้มเป็นชา: นำดอกดินมาต้มน้ำแล้วดื่มเป็นชา […]