บานบุรี บานบุรีเป็นไม้ดอกที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของอเมริกาใต้และเม็กซิโก โดยดอกบานบุรีมีหลากสีสัน เช่น สีชมพู สีแดง สีเหลือง และสีขาว บานบุรีมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย และสามารถปลูกได้ง่ายในหลายพื้นที่ของประเทศไทย สรรพคุณของบานบุรี ช่วยลดอาการไข้หวัดใหญ่ และอาการไอ ช่วยลดอาการอักเสบ และอาการปวด ช่วยแก้อาการท้องร่วง ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือน ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดไขมันในเลือด ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง การปลูกบานบุรี บานบุรีสามารถปลูกได้ง่ายในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยการปลูกบานบุรีสามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ด หรือการปักชำกิ่ง โดยการเพาะเมล็ดนั้น ให้ใช้เมล็ดที่แก่จัดและสมบูรณ์ แล้วนำไปแช่น้ำอุ่นประมาณ 2-3 ชั่วโมง จากนั้นนำไปเพาะในกระถางหรือแปลงเพาะกล้า โดยใช้ดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี รดน้ำให้ชุ่มและวางไว้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง เมื่อกล้าบานบุรีมีใบจริงประมาณ 3-4 ใบ ก็สามารถย้ายปลูกลงดินได้ โดยควรปลูกในดินร่วนปนทรายเช่นเดียวกัน และควรเว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 1-2 เมตร เพื่อให้ต้นบานบุรีมีพื้นที่ในการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ บานบุรีเป็นไม้ดอกที่มีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย และสามารถปลูกได้ง่ายในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยการปลูกบานบุรีสามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ด หรือการปักชำกิ่ง ผู้ที่สนใจปลูกบานบุรีสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น หนังสือ เกษตรกร หรืออินเทอร์เน็ต
Tag Archives: สมุนไพร
บอนเต่า บอนป่า พืชสารพัดประโยชน์ บอนเต่าและบอนป่าเป็นพืชล้มลุกที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทย โดยมักจะขึ้นในบริเวณป่าเต็งรังหรือป่าเบญจพรรณ ทั้งสองชนิดนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ทั้งทางด้านลักษณะทางพฤกษศาสตร์และการใช้ประโยชน์ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ บอนเต่าและบอนป่ามีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ที่คล้ายคลึงกันมาก ทั้งสองชนิดมีลำต้นใต้ดินเป็นเหง้าขนาดเล็ก มีใบเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่และมีขอบใบหยัก มีดอกออกเป็นช่อที่ส่วนยอดของลำต้น การใช้ประโยชน์ ใช้ทำกับข้าว เหง้าของบอนเต่าและบอนป่าสามารถนำมาประกอบอาหารได้ โดยนิยมใช้เหง้าอ่อนที่ยังไม่แก่จัด โดยมักจะนำมาต้มหรือเผาให้สุกก่อน จากนั้นจึงสามารถนำมารับประทานได้ ปลูกเป็นไม้ประดับ ทั้งสองชนิดนี้มีใบที่สวยงาม โดยมักจะปลูกเป็นไม้ประดับในบริเวณบ้านหรือสวน โดยเฉพาะบอนเต่าซึ่งมีใบด่างสวยงาม จึงเป็นที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย สรรพคุณเด่น บอนเต่าและบอนป่ามีสรรพคุณทางสมุนไพรที่โดดเด่น โดยเฉพาะในด้านดังต่อไปนี้ ช่วยลดความดันโลหิตสูง ช่วยรักษาโรคท้องร่วง ช่วยรักษาโรคบิด ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยขับนิ่ว ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ช่วยรักษาโรคผิวหนัง ช่วยรักษาโรคมะเร็ง หากคุณมีปัญหาสุขภาพดังกล่าว คุณสามารถใช้บอนเต่าหรือบอนป่าเพื่อรักษาอาการดังกล่าวได้ โดยคุณสามารถนำเหง้าของบอนเต่าหรือบอนป่ามาต้มกับน้ำแล้วดื่ม หรือใช้ใบของบอนเต่าหรือบอนป่ามาพอกบริเวณที่เป็นโรค
ข่า สรรพคุณ และการปลูกข่า ข่าเป็นพืชสมุนไพรที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข่ามีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “Alpinia galanga” และเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอาหารไทย รวมถึงการแพทย์แผนไทย ข่ามีสรรพคุณทางยาต่างๆ มากมาย รวมถึงช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการปวดประจำเดือน และช่วยลดไข้ สรรพคุณของข่า บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร ข่ามีสารสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น จึงช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการปวดประจำเดือน ข่ามีสารสำคัญที่ช่วยลดการบีบตัวของมดลูก จึงช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ ช่วยลดไข้ ข่ามีฤทธิ์ในการลดไข้ และยังมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสบางชนิด จึงช่วยลดไข้และช่วยรักษาอาการหวัดได้ ช่วยลดการอักเสบ ข่ามีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย จึงช่วยลดอาการปวดข้อและอาการอักเสบอื่นๆ ได้ ช่วยรักษาโรคผิวหนัง ข่ามีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา จึงช่วยรักษาโรคผิวหนังต่างๆ เช่น กลาก เกลื้อน และโรคผิวหนังอื่นๆ ได้ ช่วยบำรุงร่างกาย ข่ามีสารอาหารต่างๆ มากมาย เช่น วิตามินซี วิตามินเอ และแร่ธาตุต่างๆ เช่น โพแทสเซียมและแมกนีเซียม จึงช่วยบำรุงร่างกายและช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง การปลูกข่า ข่าเป็นพืชที่ปลูกง่าย […]
บัวกระด้งหรือบัววิคตอเรีย บัวกระด้งหรือบัววิคตอเรียเป็นพืชน้ำที่อยู่ในวงศ์ Nymphaeaceae มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศบราซิลและโบลิเวีย พืชชนิดนี้มีใบขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยสามารถมีเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 3 เมตร และสามารถรับน้ำหนักได้ถึง 80 กิโลกรัม ลักษณะของบัวกระด้ง ใบของบัวกระด้งมีรูปร่างกลมหรือวงรีและขอบใบเป็นหยักฟันเลื่อยเล็กๆ ใบมีสีเขียวเข้มและมีเส้นใยที่แข็งแรง ซึ่งช่วยให้ใบสามารถรับน้ำหนักได้มาก โดยใบของบัวกระด้งมีอายุการใช้งานเพียงประมาณ 2 ถึง 3 สัปดาห์ ดอกของบัวกระด้งมีสีขาวและมีกลิ่นหอม ดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 40 เซนติเมตร และมีกลีบดอกจำนวนมากกลีบ ดอกของบัวกระด้งจะบานเฉพาะในเวลากลางคืนและจะบานเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น เหง้าของบัวกระด้งมีรูปร่างยาวและมีเส้นใยที่แข็งแรง เหง้าของบัวกระด้งมีหน้าที่ในการดูดซับสารอาหารจากน้ำและเป็นตัวเก็บสะสมอาหารสำหรับพืช รากของบัวกระด้งมีลักษณะเป็นเส้นยาวและมีขนอ่อนๆ รากของบัวกระด้งมีหน้าที่ในการยึดเกาะพืชไว้กับดินและดูดซับน้ำและสารอาหารจากน้ำ การปลูกและการดูแลบัวกระด้ง บัวกระด้งสามารถปลูกได้ในน้ำนิ่งหรือน้ำไหล โดยน้ำที่ใช้ปลูกบัวกระด้งควรมีค่า pH เป็นกลางถึงกรดเล็กน้อย และควรมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20 ถึง 28 องศาเซลเซียส บัวกระด้งต้องการแสงแดดเต็มวันและควรมีการใส่ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ ประโยชน์ของบัวกระด้ง บัวกระด้งเป็นพืชที่มีความสวยงามและสามารถใช้เพื่อการประดับตกแต่งได้ บัวกระด้งยังสามารถใช้เป็นอาหารได้ โดยสามารถนำใบและดอกของบัวกระด้งมากินได้ ใบอ่อนของบัวกระด้งสามารถนำไปผัดหรือแกงได้ ส่วนดอกและเกสรของบัวกระด้งสามารถนำไปชงชาได้ ในบางประเทศมีการนำบัวกระด้งมาทำเป็นยาเพื่อรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคผิวหนังและโรคบิด
บัวบกโขด/บัวบกโคก ไม้ป่าประดับยอดนิยม ใบทำวุ้น และสรรพคุณเด่น บัวบกโขด หรือ บัวบกโคก จัด เป็นไม้ป่าโบราณดึกดำบรรพ์ที่เพาะปลูกได้ในพื้นที่ร่มรื่น และเป็นไม้ประดับที่มีที่นิยมปลูกเลี้ยงกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นพืชที่เลี้ยงง่ายและ มีความสวยงาม มีวิธีการปลูกที่ไม่ยุ่งยาก อีกทั้งยังมีส่วนต่างๆสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งใบและดอก ประโยชน์ด้านสุขภาพและความงาม บัวบกโขดมีสรรพคุณเด่นมากมาย โดยใบสามารถนำไปรับประทานเพื่อช่วยในการบำรุงสายตา เนื่องจากมีสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ในปริมาณสูง และ ยังมีประโยชน์ในการช่วยบำรุงผิวพรรณและฆ่าเชื้อโรค นอกจากนี้ยังสามารถช่วยรักษาอาการท้องร่วงและอาการปวดท้องได้อีกด้วย ประโยชน์ในการประดับตกแต่ง บัวบกโขดนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เนื่องจากเป็นพืชที่เลี้ยงง่าย และมีการเจริญเติบโตค่อนข้างรวดเร็ว สามารถปลูกได้ทั้งในดินร่วนและดินทราย โดยมีความสูงของลำต้นระหว่าง 1–5 เมตร และมีดอกสีชมพูสดใสที่สวยงาม ทำให้เป็นไม้ที่เหมาะสำหรับปลูกเพื่อตกแต่งบริเวณบ้านเรือน หรือสำหรับนักจัดสวนที่ชื่นชอบไม้ป่าโบราณดึกดำบรรพ์ วิธีการปลูก การปลูกบัวบกโขดสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการนำหน่อหรือรากของบัวบกโขดมาปลูกลงในหลุมที่มีความลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร และเว้นระยะห่างระหว่างหลุมประมาณ 30-50 เซนติเมตร จากนั้นรดน้ำให้ชุ่มและหมั่นดูแลให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยบัวบกโขดชอบดินที่มีความชื้นสูง จึงเหมาะกับการปลูกในพื้นที่ร่มรื่น การดูแลรักษา การดูแลรักษาบัวบกโขดนั้นไม่ยุ่งยากเพียงแค่หมั่นรดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ และใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเป็นครั้งคราวก็เพียงพอแล้ว สรุป บัวบกโขด/บัวบกโคก เป็นไม้ป่าโบราณดึกดำบรรพ์ที่สวยงาม และมีประโยชน์มากมาย เนื่องจากมีสรรพคุณทางยาในการ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ ฆ่าเชื้อโรค และช่วยรักษาอาการท้องร่วงและอาการปวดท้องได้ […]
พลู ใบพลู ประโยชน์ และสรรพคุณพลู พลู เป็นพืชในวงศ์ Piperaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Piper betel L. มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ทั่วไปในป่าและบริเวณที่มีความชื้นสูง ใบพลูมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ สีเขียว เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุหลายปี มีความสูงประมาณ 1-2 เมตร ใบพลูมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ประโยชน์ของพลู ใช้เป็นเครื่องเทศในการปรุงอาหาร โดยใช้ใบพลูเป็นเครื่องแกงต่างๆ เช่น แกงเขียวหวาน แกงเผ็ด แกงพะแนง เป็นต้น ใช้เป็นยาสมุนไพร โดยใช้ใบพลูรักษาอาการเจ็บคอ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และใช้รักษาโรคผิวหนัง ใช้เป็นเครื่องประดับ โดยใช้ใบพลูห่อดอกไม้และใบตองใช้สำหรับการไหว้พระ หรือการประดับตกแต่งบ้านเรือน สรรพคุณพลู แก้เจ็บคอ แก้ไอ ขับเสมหะ โดยใช้ใบพลู 10 ใบ ตำผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา กินก่อนนอนทุกวัน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ โดยใช้ใบพลู 10 ใบ ตำผสมกับเกลือ […]
ว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้เป็นพืชพื้นเมืองในแถบแอฟริกาและเอเชีย มีลักษณะเป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นอวบน้ำเป็นข้อๆ มีใบยาวและแหลม สีเขียวเข้ม ขอบใบมีหนามเล็กๆ ดอกเป็นสีเหลืองอ่อน ออกเป็นช่อที่ปลายก้านช่อดอก ผลเป็นแบบผลแห้ง แก่แล้วแตกออกเป็นสามเหลี่ยม มีเมล็ดจำนวนมากอยู่ภายใน ว่านหางจระเข้มีสรรพคุณทางยาหลายประการ เช่น แก้แผลอักเสบและแผลไหม้ โดยนำวุ้นว่านหางจระเข้มาทาบริเวณที่เป็นแผล จะช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อนและเร่งให้แผลหายเร็วขึ้น รักษาสิว โดยนำวุ้นว่านหางจระเข้มาทาบริเวณที่เป็นสิว จะช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว บำรุงผิวพรรณ โดยนำวุ้นว่านหางจระเข้มาผสมกับน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตแล้วนำมาพอกหน้า จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและเปล่งปลั่ง รักษาอาการท้องผูก โดยนำวุ้นว่านหางจระเข้มาปั่นผสมกับน้ำผึ้งแล้วดื่ม จะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น ลดน้ำตาลในเลือด โดยนำวุ้นว่านหางจระเข้มาปั่นผสมกับน้ำมะนาวแล้วดื่ม จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ การปลูกว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้สามารถปลูกได้ทั้งในดินและในน้ำ โดยมีวิธีการปลูกดังนี้ การปลูกในดิน เลือกพื้นที่ปลูกที่มีดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี ขุดหลุมปลูกลึกประมาณ 30 เซนติเมตร กว้างประมาณ 30 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไปในหลุมปลูกแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน นำต้นว่านหางจระเข้ลงปลูกในหลุมปลูกแล้วกลบดินให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม การปลูกในน้ำ เลือกภาชนะปลูกที่มีขนาดใหญ่พอเหมาะ ใส่หินหรือกรวดลงไปที่ก้นภาชนะปลูก เติมน้ำลงไปในภาชนะปลูกจนเกือบเต็ม นำต้นว่านหางจระเข้ลงปลูกในภาชนะปลูกแล้วเติมน้ำให้เต็ม เปลี่ยนน้ำทุกสัปดาห์
ผักโขม ผักโขมเป็นผักใบเขียวที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะวิตามินเค วิตามินเอ และแมกนีเซียม นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย. ประโยชน์ของการกินผักโขม ผักโขมนั้นมีประโยชน์ต่างๆ มากมายต่อร่างกาย ดังนี้ ช่วยให้มีสุขภาพดวงตาดี เนื่องจากผักโขมมีลูทีนและซีแซนทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องดวงตาจากรังสียูวีและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม ช่วยให้หัวใจแข็งแรง เพราะผักโขมมีโฟเลตซึ่งเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เนื่องจากผักโขมมีวิตามินซีสูงซึ่งเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ผักโขมมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ ช่วยให้ผิวสวย เนื่องจากผักโขมมีวิตามินเอสูงซึ่งเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรง การปลูกผักโขม ผักโขมสามารถปลูกได้ในดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี มีค่า pH ระหว่าง 6-7 และได้รับแสงแดดอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน เตรียมดินโดยไถพรวนและใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก หว่านเมล็ดผักโขมลงในแปลงปลูกแล้วกลบด้วยดินบางๆ รดน้ำให้ทั่วบริเวณแปลงปลูก เมื่อผักโขมโตขึ้นให้ถอนแยกต้นที่อยู่ใกล้กันออกเพื่อให้มีพื้นที่เจริญเติบโต รดน้ำสม่ำเสมอและใส่ปุ๋ยทุกๆ 2-3 สัปดาห์ เมื่อผักโขมโตเต็มที่จะมีใบสีเขียวเข้มและสามารถเก็บเกี่ยวได้
ถั่วแปะยี (Lab Lab Bean) ถั่วแปะยี หรือที่รู้จักกันในชื่อ ถั่วคว่ำ, ถั่วสองฤดู, ถั่วป้า หรือถั่วงอก (กรณีเป็นถั่วงอกจากถั่วแปะยี) เป็นพืชล้มลุกในสกุล Lablab ซึ่งเจริญเติบโตเป็นเถาวัลย์ ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ทวีปแอฟริกา แต่ปัจจุบันพบปลูกในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ถั่วแปะยีมีทั้งชนิดที่กินได้และชนิดที่ใช้เป็นไม้ประดับ มีดอกสีขาวหรือม่วงและฝักที่ยาวและเรียวซึ่งมีเมล็ดอยู่ภายใน ประโยชน์และสรรพคุณของถั่วแปะยี ถั่วแปะยีเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย เช่น อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุ ถั่วแปะยีมีปริมาณโปรตีนสูงถึง 20-25% ซึ่งจัดเป็นโปรตีนที่สมบูรณ์และมีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเค แมกนีเซียม โฟเลต และใยอาหาร ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด สารสกัดจากถั่วแปะยีมีฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสในลำไส้เล็ก จึงช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ช่วยลดความดันโลหิต สารสกัดจากถั่วแปะยีมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ACE ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของความดันโลหิต จึงช่วยลดความดันโลหิตได้ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล สารสกัดจากถั่วแปะยีมีฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหาร และช่วยเพิ่มการขับถ่ายคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ช่วยลดน้ำหนัก ถั่วแปะยีมีปริมาณใยอาหารสูง ซึ่งช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้นและช่วยลดความอยากอาหาร จึงอาจช่วยลดน้ำหนักได้ ช่วยต้านมะเร็ง ถั่วแปะยีมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งได้ ช่วยบำรุงผิวพรรณ ถั่วแปะยีมีวิตามินซีและอีสูง ซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งและมีสุขภาพดี […]
การปลูกฝรั่ง ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวาน อมเปรี้ยวเล็กน้อย เป็นผลไม้ที่นิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย และมีการปลูกฝรั่งกันอย่างมากมาย โดยเฉพาะในประเทศไทย การปลูกฝรั่งนั้นสามารถทำได้ง่ายๆ หากมีการดูแลเอาใจใส่ที่ดี การเตรียมพื้นที่และแปลงปลูก การเตรียมพื้นที่และแปลงปลูก ถือเป็นขั้นตอนแรกของการปลูกฟรั่ง ซึ่งต้องเริ่มด้วยการเลือกพื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการปลูกฝรั่ง ดินควรมีความร่วนซุย มีการระบายน้ำที่ดี และมีค่า pH อยู่ในช่วง 6.0-6.5 จากนั้นไถพรวนดินตากแดดทิ้งไว้ 5-7 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและให้ดินมีอากาศถ่ายเท การเตรียมกล้าพันธุ์ เมื่อได้พื้นที่และแปลงปลูกที่เหมาะสมแล้ว ให้เริ่มเพาะกล้าพันธุ์ โดยนำเมล็ดฝรั่งที่สมบูรณ์มาแช่น้ำอุ่น 30-45 องศาเซลเซียส ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง จากนั้นเพาะเมล็ดลงในถุงเพาะชำที่มีส่วนผสมของดินร่วนซุยและปุ๋ยหมัก โดยวางเมล็ดลงไปแล้วกลบด้วยดินบางๆ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม จากนั้นนำถุงเพาะชำไปวางในที่ที่มีแสงแดดพอเหมาะ เมื่อกล้าพันธุ์โตได้ประมาณ 15-20 เซนติเมตร ก็สามารถนำลงปลูกในแปลงปลูกได้ การย้ายกล้าพันธุ์ลงปลูก เมื่อได้กล้าพันธุ์ที่สมบูรณ์แล้ว นำกล้าพันธุ์ลงปลูกในแปลงปลูกโดยขุดหลุมปลูกให้มีขนาดใหญ่กว่าถุงเพาะชำเล็กน้อย แล้วนำกล้าพันธุ์ออกจากถุงเพาะชำ ระวังอย่าให้รากเสียหาย จากนั้นวางต้นกล้าลงในหลุมปลูก แล้วกลบดินลงไปให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม การดูแลรักษาฝรั่ง เมื่อปลูกฝรั่งแล้ว จะต้องหมั่นดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ โดยการรดน้ำสม่ำเสมอไม่ให้ดินแห้ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งอาจต้องรดน้ำ 2 ครั้งต่อวัน นอกจากนี้ […]