Tag Archives: ข้าว

หม่อน/ใบหม่อน (mulberry) ประโยชน์ และสรรพคุณหม่อน

หม่อน หม่อนเป็นไม้ผลจำพวกผลเบอร์รี่ซึ่งมีประโยชน์มากมาย ใบหม่อนมีสรรพคุณทางยาตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งยังใช้เลี้ยงตัวหนอนไหมที่ผลิตไหมด้วย ประโยชน์ของหม่อน ลดน้ำตาลในเลือด: ใบหม่อนมีสารเคมีที่เรียกว่า 1-deoxynojirimycin (DNJ) ซึ่งช่วยยับยั้งการย่อยคาร์โบไฮเดรตในลำไส้เล็ก ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดลดลง ลดคอเลสเตอรอล: กรดคลอโรจีนิกในใบหม่อนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ต้านการอักเสบ: สารต้านอนุมูลอิสระในหม่อนช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งอาจช่วยป้องกันโรคเรื้อรังได้ ช่วยการย่อยอาหาร: ไฟเบอร์ในหม่อนช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้และลดอาการท้องผูก ต้านมะเร็ง: หม่อนมีสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่นำไปสู่โรคมะเร็ง สรรพคุณของใบหม่อน ใบหม่อนเป็นส่วนที่ใช้มากที่สุดของต้นหม่อน โดยมีสรรพคุณทางยาหลายประการ ได้แก่ ลดระดับน้ำตาลในเลือด: ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ใบหม่อนมีสาร DNJ ซึ่งช่วยลดน้ำตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวาน: ใบหม่อนถูกใช้ในการแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาโรคเบาหวานมานานหลายศตวรรษ ลดความดันโลหิตสูง: ใบหม่อนมีสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยลดความดันโลหิตสูง ต้านการอักเสบ: สารต้านอนุมูลอิสระในใบหม่อนช่วยลดการอักเสบในร่างกายซึ่งอาจช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง เช่นโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ลดคอเลสเตอรอล: กรดคลอโรจีนิกในใบหม่อนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด บำรุงผมและหนังศีรษะ: ใบหม่อนใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผมหลายชนิดเนื่องจากมีสารที่ช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ

ว่านนางคุ้ม/ว่านผู้เฒ่าเฝ้าบ้าน และการปลูกว่านนางคุ้ม

ว่านนางคุ้ม/ว่านผู้เฒ่าเฝ้าบ้าน ว่านนางคุ้มหรือว่านผู้เฒ่าเฝ้าบ้านเป็นว่านที่มีชื่อเป็นมงคล นิยมปลูกไว้เพื่อเสริมมงคลให้บ้านหรือสถานที่ต่างๆ เชื่อว่าจะช่วยปกป้องคุ้มครองภัยอันตรายทั้งปวง เป็นว่านมงคลเสริมโชคลาภความสุข ให้มีความสุขสมบูรณ์ โดยคำว่า “นางคุ้ม” นั้นมาจากความเชื่อว่ามีวิญญาณนางไม้หรือเทวดาคุ้มครองเฝ้าบ้านอยู่ การปลูกว่านนางคุ้ม การปลูกว่านนางคุ้มนั้นนิยมปลูกไว้ในกระถางหรือแจกัน เพียงแค่เตรียมดินร่วนปนทราย หรือดินที่ใช้ปลูกต้นไม้ทั่วไป นำหญ้าแห้งหรือวัสดุรองพื้นรองก้นกระถาง จากนั้นจึงนำหัวว่านลงปลูกฝังลงไปในดิน กดให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม แล้วนำวางไว้บริเวณที่มีแดดรำไร ไม่ควรให้ถูกแสงแดดโดยตรง การดูแลรักษา: รดน้ำวันละ 1 ครั้ง โดยรดให้ชุ่มบริเวณโคนต้น หลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำโดนใบ เพราะจะทำให้ใบเป็นจุดด่าง ใส่ปุ๋ยเดือนละ 1 ครั้ง โดยใช้ปุ๋ยสูตรเสมอหรือปุ๋ยคอก หมั่นกำจัดวัชพืชบริเวณโดยรอบต้น

ข้าวเหนียวดำ/ข้าวก่ำ สรรพคุณ และการปลูกข้าวเหนียวดำ

ข้าวเหนียวดำหรือข้าวก่ำ สรรพคุณทางยาและอาหารของข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียวดำเป็นธัญพืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารและมีสรรพคุณทางยาต่างๆ มากมาย ได้แก่ ต้านอนุมูลอิสระ: ข้าวเหนียวดำมีปริมาณสารแอนโทไซยานินสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพในการช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และปกป้องร่างกายจากโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง ลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์: สารแอนโทไซยานินในข้าวเหนียวดำยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้อีกด้วย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ต้านการอักเสบ: ข้าวเหนียวดำมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคข้ออักเสบและโรคหัวใจ ช่วยย่อยอาหาร: ข้าวเหนียวดำเป็นแหล่งของใยอาหารที่ดี ซึ่งช่วยส่งเสริมการย่อยอาหารและป้องกันอาการท้องผูก การปลูกข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียวดำปลูกได้ในพื้นที่ที่มีความชื้นปานกลางถึงสูง และมีการระบายน้ำที่ดี ขั้นตอนในการปลูกข้าวเหนียวดำมีดังนี้ เตรียมดิน: ไถดินลึก 20-30 เซนติเมตร และใสปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อปรับปรุงโครงสร้างดิน แช่เมล็ดข้าว: แช่เมล็ดข้าวในน้ำอุ่น 12-24 ชั่วโมงก่อนปลูก เพื่อช่วยให้เมล็ดงอกเร็วขึ้น หยอดเมล็ดข้าว: หยอดเมล็ดข้าวลงในหลุมลึก 2-3 เซนติเมตร โดยให้ระยะห่างระหว่างหลุม 20-25 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถว 50-60 เซนติเมตร ดูแลรักษา: รดน้ำข้าวเป็นประจำโดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโต และใส่ปุ๋ยให้เหมาะสมในช่วงต่างๆ ของการเจริญเติบโต เก็บเกี่ยว: ข้าวเหนียวดำจะเก็บเกี่ยวได้เมื่อรวงข้าวแก่จัด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 120-130 วันหลังจากปลูก […]

นนทรี ประโยชน์ และสรรพคุณนนทรี

นนทรี ประโยชน์ของนนทรี ปลูกเป็นไม้ประดับ ใบมีสีเขียวสดสวยงาม ทรงของต้นสง่า ลำต้นใหญ่ เมื่อใบร่วงหล่นเป็นปุ๋ยชั้นดีให้แก่ดิน ร่มเงา ทรงพุ่มใบหนาทึบ แผ่กว้าง ให้ร่มเงาที่ร่มเย็น เหมาะสำหรับปลูกประดับสวนและสถานที่สาธารณะ ใช้บริโภค ยอดนำมาทานเป็นผักได้ มีรสชาติขมเล็กน้อย ผลใช้รับประทานได้ โดยนำมาสกัดน้ำมันจากเมล็ดเพื่อทำอาหาร สรรพคุณของนนทรี แก้อาการท้องเสีย ใช้เหง้าของต้นนำมาต้มน้ำดื่มเพื่อช่วยหยุดอาการท้องเสีย แก้โรคน้ำเหลืองเสีย ใช้เปลือกของต้นนำมาต้มน้ำดื่มเพื่อช่วยรักษาน้ำเหลืองเสีย ขับพยาธิ ใช้เมล็ดของผลนำมาบดเป็นผงชงน้ำดื่มเพื่อช่วยขับพยาธิ บำรุงหัวใจ ใช้ใบของต้นนำมาต้มน้ำดื่มเพื่อช่วยบำรุงหัวใจ รักษาโรคผิวหนัง ใช้เปลือกของต้นนำมาต้มน้ำแล้วนำน้ำมาอาบหรือจุ่มแช่ เพื่อช่วยรักษาโรคผิวหนัง เช่น กลาก เกลื้อน

กล้วยน้ำว้า สรรพคุณ และการปลูกกล้วยน้ำว้า

กล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้เมืองร้อนยอดนิยมที่มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลสุกมีรสหวานเล็กน้อย มีเนื้อนุ่ม ครีม และมีเมล็ดเล็กๆ ซึ่งสามารถรับประทานได้ กล้วยน้ำว้าอุดมไปด้วยสารอาหารและมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย สรรพคุณทางยาของกล้วยน้ำว้า ช่วยย่อยอาหาร: กล้วยน้ำว้ามีเส้นใยจำนวนมากซึ่งช่วยในการย่อยอาหารโดยเพิ่มปริมาณและช่วยให้ลำไส้เคลื่อนไหวเป็นปกติ บรรเทาอาการท้องเสีย: แทนนินในกล้วยน้ำว้ามีคุณสมบัติฝาดซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคในลำไส้ ลดความดันโลหิต: กล้วยน้ำว้าเป็นแหล่งโพแทสเซียมที่ดี ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยลดความดันโลหิต เสริมสร้างกระดูก: กล้วยน้ำว้ามีแคลเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการรักษาสุขภาพกระดูก ต่อต้านอนุมูลอิสระ: กล้วยน้ำว้ามีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซีและเบตาแคโรทีน ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์ร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ลดอาการอักเสบ: กล้วยน้ำว้ามีสารต้านการอักเสบที่เชื่อว่าช่วยลดอาการอักเสบในร่างกาย การปลูกกล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำว้าเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้นและดินที่ระบายน้ำได้ดี ขั้นตอนการปลูกกล้วยน้ำว้ามีดังนี้ เลือกดิน: เลือกดินที่มีความร่วนและมีอินทรียวัตถุสูง เตรียมหลุมปลูก: ขุดหลุมที่มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 1 ฟุต ใส่ปุ๋ยหมัก: ผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกลงในดินที่ขุดไว้ ปลูกต้นกล้วย: วางต้นกล้วยลงในหลุมและกลบดินรอบๆ โคนต้น รดน้ำ: รดน้ำให้ต้นกล้วยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ให้ปุ๋ย: ให้ปุ๋ยต้นกล้วยทุกๆ 2-3 เดือนโดยใช้ปุ๋ยที่สมดุล กำจัดวัชพืช: กำจัดวัชพืชบริเวณรอบๆ ต้นกล้วยเพื่อป้องกันไม่ให้แย่งสารอาหาร

ผักแขยง/ผักกะออม ประโยชน์ และสรรพคุณผักแขยง

ผักแขยง (ผักกะออม) ผักแขยง หรือ ผักกะออม เป็นผักใบเขียวที่พบมากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ผักชนิดนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย ประโยชน์และสรรพคุณของผักแขยง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ: ผักแขยงอุดมไปด้วยวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ช่วยลดคอเลสเตอรอล: ผักแขยงมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด โดยไฟเบอร์จะจับกับคอเลสเตอรอลและนำออกจากร่างกาย ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: ผักแขยงมีดัชนีน้ำตาลต่ำ ทำให้ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือต้องการควบคุมน้ำหนัก บำรุงกระดูกและฟัน: ผักแขยงมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญสำหรับการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยลดการอักเสบ: ผักแขยงมีสารต้านการอักเสบที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย เช่น การอักเสบของข้อหรือกล้ามเนื้อ ช่วยย่อยอาหาร: ผักแขยงมีไฟเบอร์สูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูก

ทับทิม สรรพคุณ และการปลูกทับทิม

ทับทิม ทับทิม (Punica granatum L.) เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ทางโภชนาการและสรรพคุณทางยา มีถิ่นกำเนิดในประเทศอิหร่านและอินเดีย ปัจจุบันแพร่กระจายไปทั่วในเขตอบอุ่นทั่วโลก ทับทิมเป็นผลไม้ที่มีลักษณะเป็นผลกลมแข็ง เปลือกหนาสีแดงอมน้ำตาล เมื่อผ่าออกด้านในจะมีเนื้อสีแดงสดใสฉ่ำน้ำ ห่อหุ้มเมล็ดมากมาย สรรพคุณของทับทิม ทับทิมมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย เนื่องจากอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโทไซยานินและโพลีฟีนอล ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีวิตามิน C วิตามิน K และโปแตสเซียมที่สำคัญต่อสุขภาพ นอกจากนี้ ทับทิมยังมีสรรพคุณทางยาอื่นๆ เช่น ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยลดอาการอักเสบ การปลูกทับทิม การปลูกทับทิมสามารถทำได้ทั้งในเชิงพาณิชย์และเพื่อบริโภคเองในครัวเรือน โดยมีวิธีการดังนี้ การเตรียมพื้นที่ปลูก: ทับทิมชอบดินร่วนซุยที่มีการระบายน้ำดี ให้เลือกพื้นที่ที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดวัน การเตรียมกล้าพันธุ์: สามารถขยายพันธุ์ทับทิมได้โดยการเพาะเมล็ดหรือการปักชำ การปลูก: ปลูกต้นทับทิมให้ห่างกันประมาณ 2-3 เมตร ขุดหลุมปลูกให้ลึกกว่าขนาดของรากเล็กน้อย แล้วกลบดินและรดน้ำให้ชุ่ม การดูแลรักษา: ทับทิมเป็นพืชที่ค่อนข้างทนแล้ง แต่ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงฤดูแล้ง เมื่อต้นทับทิมติดผลควรค้ำกิ่งเพื่อไม่ให้กิ่งหัก นอกจากนี้ ควรใส่ปุ๋ยบำรุงต้นเป็นประจำ และกำจัดวัชพืชในแปลงปลูก การเก็บเกี่ยว: เมื่อผลทับทิมเริ่มสุกเต็มที่ เปลือกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงอมน้ำตาล […]

ผักเบี้ยทะเล ผักรสเค็ม และการใช้ประโยชน์

ผักเบี้ยทะเล ผักรสเค็ม และการใช้ประโยชน์ ผักเบี้ยทะเล หรือ หยุนไฉ่ เป็นผักชนิดหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดในแถบชายฝั่งทะเลของประเทศจีนและญี่ปุ่น มีลักษณะลำต้นกลมเล็กสีเขียว ใบค่อนข้างกลมหนา และมีรสชาติเค็มตามธรรมชาติ ผักเบี้ยทะเลอุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก และวิตามินซี จึงมีคุณสมบัติที่หลากหลาย รวมถึงการช่วยลดความดันโลหิต บำรุงสมอง และกระดูกให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสอีกด้วย การใช้ประโยชน์ของผักเบี้ยทะเล ผักเบี้ยทะเลสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งเมนูของคาวและของหวาน เช่น ผัดผักเบี้ยทะเลกับไข่ ซึ่งเป็นเมนูที่ง่ายและรวดเร็ว ผัดผักเบี้ยทะเลกับหมูกรอบ ผักเบี้ยทะเลลวกจิ้มน้ำพริก ผัดผักเบี้ยทะเลน้ำมันหอย แกงจืดผักเบี้ยทะเล นอกจากการนำไปประกอบอาหารแล้ว ผักเบี้ยทะเลยังสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องเคียงเพื่อเพิ่มรสชาติให้กับอาหารจานอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น ใส่ผักเบี้ยทะเลลงไปในยำต่างๆ เพื่อเพิ่มรสชาติเค็ม โรยผักเบี้ยทะเลลงบนข้าวต้มหรือข้าวสวย ใช้ผักเบี้ยทะเลในการทำซุปเพื่อเพิ่มรสชาติอูมามิ โดยรวมแล้ว ผักเบี้ยทะเลเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีสรรพคุณในการรักษาสุขภาพที่หลากหลาย สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู จึงเหมาะกับการนำมาเพิ่มรสชาติและสารอาหารให้กับอาหารจานโปรดของคุณ

ดอกดิน ใช้หุงนึ่งข้าว เด่นต้านมะเร็ง แก้ไอ ลดไข้ แก้โรคข้อกระดูก

สารานุกรมสมุนไพรไทย ดอกดิน คำแปลชื่อพื้นเมือง : ขัดข่า, ขัญ, ดินคู่ (เหนือ : กำแพงดิน, กำแพงหิน, ขยั้นหิน) (ตะวันออกเฉียงเหนือ : งัวหล่อคา, ขาตองหงาย, ต้นหงาย) ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลาง : ต้นดิน, ต้นดินคู่, ดอนดิน, ดันดิน, ดินคู่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : กำแพงดิน, กำแพงหิน, ขยั้นหิน, ขยั้นหินคู่, งัวหล่อคา, ต้นหงาย, ต้นหงายคว่ำ, บัวขาว, บัวดิน ภาคเหนือ : กำแพงดิน, ขยั้น, ขยั้นหิน, ขัดข่า, ขัญ, จันทน์แปด, จันทน์แปดถิ่น ภาคใต้ : ต้นดิน, ต้นดินคู่ ชื่ออื่นๆ : Crinum, Finger of […]

เงาะ(rambutan) เงาะโรงเรียน และการปลูกเงาะ

เงาะ เงาะเป็นผลไม้เมืองร้อนที่อยู่ในตระกูลเดียวกับลิ้นจี่และลองกอง เงาะมีลักษณะเป็นผลกลมรี เปลือกนอกมีขนอ่อนสีเขียวอมน้ำตาลหรือออกแดงเมื่อสุก เนื้อในมีรสหวานอมเปรี้ยวและมีเมล็ดสีน้ำตาลอยู่ตรงกลาง เงาะโรงเรียน เงาะโรงเรียนเป็นพันธุ์เงาะที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย มีลักษณะเด่นคือมีขนาดผลใหญ่ เปลือกมีสีเขียวอมน้ำตาล เมื่อสุกจะมีสีแดงเข้ม เนื้อในมีสีขาวอมเหลือง รสชาติหวานกรอบ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เงาะโรงเรียนนิยมปลูกในจังหวัดทางภาคใต้ของไทย การปลูกเงาะ การปลูกเงาะสามารถทำได้ทั้งแบบใช้เมล็ดและกิ่งตอน วิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือการใช้กิ่งตอน โดยเริ่มจากการเตรียมดินโดยการไถพรวนให้ลึกประมาณ 30-40 เซนติเมตร แล้วใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรองพื้น จากนั้นขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50×50 เซนติเมตร ห่างกันประมาณ 8-10 เมตร นำกิ่งตอนที่เตรียมไว้ลงปลูก กลบดินและรดน้ำให้ชุ่ม การดูแลเงาะต้องใส่ปุ๋ยและให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ติดผล หากปลูกในช่วงฤดูร้อนควรให้น้ำทุกวัน แต่ถ้าปลูกในช่วงฤดูฝนอาจให้น้ำน้อยลง ในระหว่างการปลูกอาจมีแมลงหรือโรคพืชเข้ามารบกวนได้ จึงต้องหมั่นตรวจสอบและกำจัดอย่างถูกวิธี เงาะจะเริ่มให้ผลผลิตในช่วงอายุ 4-5 ปีหลังจากปลูก ผลจะสุกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม เมื่อเงาะสุกจะมีรสชาติหวานอร่อยเป็นที่นิยมบริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ