ถั่วลันเตา ถั่วลันเตา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Pisum sativum L.) เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลถั่ว มีชื่อสามัญอื่นๆ ได้แก่ ถั่วลันเตาฝักแบน ถั่วลันเตาอ่อน ถั่วแขก และถั่วรอด เป็นพืชผักที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทยและทั่วโลก มีการใช้ประโยชน์จากทั้งฝักอ่อนและเมล็ดแก่ นอกจากนี้ ถั่วลันเตายังมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลายทั้งในฝักอ่อนและเมล็ดแก่ สรรพคุณ ฝักอ่อน: แก้โรคเบาหวาน: ถั่วลันเตาฝักอ่อนมีดัชนีน้ำตาลต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ลดความดันโลหิต: ถั่วลันเตาฝักอ่อนมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย: ถั่วลันเตาฝักอ่อนมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น บำรุงสายตา: ถั่วลันเตาฝักอ่อนมีวิตามินเอและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยบำรุงสายตาและป้องกันโรคตาต่างๆ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: ถั่วลันเตาฝักอ่อนมีวิตามินซีสูง ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย จึงช่วยป้องกันหวัดและโรคต่างๆ ได้ เมล็ดแก่: ลดคลอเรสเตอรอล: ถั่วลันเตาเมล็ดแก่มีไฟเบอร์และสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด บำรุงหัวใจ: ถั่วลันเตาเมล็ดแก่มีโฟเลตสูง ซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยบำรุงหัวใจและป้องกันโรคหัวใจ ช่วยให้อิ่มเร็ว: ถั่วลันเตาเมล็ดแก่มีโปรตีนและไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้อิ่มเร็วและช่วยลดความอยากอาหาร จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ควบคุมน้ำตาลในเลือด: ถั่วลันเตาเมล็ดแก่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การปลูกถั่วลันเตา เลือกพื้นที่ปลูก: ถั่วลันเตาเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด […]
Tag Archives: สมุนไพร
จอก (Water Lettuce) จอกหูหนู ประโยชน์ และสรรพคุณจอก จอก (Water Lettuce) คืออะไร จอกหรือจอกหูหนู มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Pistia stratiotes เป็นพืชลอยน้ำที่พบได้ในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก จอกมักจะขึ้นปกคลุมผิวน้ำในบ่อน้ำ หนองน้ำ และแหล่งน้ำที่นิ่งอื่นๆ ลำต้นของจอกมีขนาดเล็กและสั้น ใบของจอกมีลักษณะเป็นแผ่นกลมแบนคล้ายหูหนู ลักษณะใบเป็นกลมแบนสีเขียวอ่อน เนื้อฟองน้ำอวบน้ำ เป็นร่องคล้ายใบหูหนู พืชลอยน้ำที่รากของมันห้อยลงไปในน้ำ แต่ไม่เกาะอยู่ในดิน ประโยชน์ และสรรพคุณของจอก ประโยชน์ของจอก จอกสามารถช่วยในการบำบัดน้ำเสีย โดยการดูดซับสารพิษและโลหะหนักในน้ำ จอกสามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมูและเป็ด จอกสามารถปลูกเป็นไม้ประดับในบ่อน้ำหรือตู้ปลา จอกสามารถใช้ในงานหัตถกรรมต่างๆ เช่น การทำดอกไม้ประดิษฐ์และตะกร้า สรรพคุณทางยาของจอก ใบของจอกมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต จอกมีสรรพคุณช่วยแก้อาการท้องเสีย จอกมีสรรพคุณช่วยแก้อาการปวดหัว จอกมีสรรพคุณช่วยแก้พิษต่างๆ จอกมีสรรพคุณช่วยแก้อาการอักเสบ
โลดทะนง ชุดแดง ทานอาเจียน เด่นช่วย ทั้งผิวขาว ขัดเซลล์ ลดรอยหมองคล้ำ โลดทะนงเป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยาหลายประการ ทั้งการรับประทานในรูปของผักสดและใช้หัวสดกินเป็นยาพอก นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาไทยต่างๆ ได้อีกเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือการใช้โลดทะนงในสูตรลดน้ำหนักที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด โดยทำมาเป็นยาสมุนไพรโลดทะนงสีแดงที่จะมีสรรพคุณช่วยลดน้ำหนัก ลดไขมันส่วนเกินทั่วร่างกาย นอกจากปัญหาเรื่องของน้ำหนักแล้วยาสมุนไพรโลดทะนงสีแดงเองก็ได้มีสรรพคุณที่โดดเด่นไม่แพ้กันทั้งช่วยขจัดรอยหมองคล้ำบนใบหน้า ลดการหลุดล่วงของเส้นผม กระตุ้นการขับถ่ายขับพิษในร่างกาย รวมไปถึงเหมาะสำหรับคนที่ตั้งใจจะมีบุตร เพราะมีสรรพคุณช่วยบำรุงทั้งบำรุงโลหิต ให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ส่วนสตรีหลังคลอดก็สามารถใช้ปรับสมดุลในร่างกาย ลดอาการปวดเมื่อยหลังคลอด รวมไปถึงเยียวยาแผลด้วยการพอกยา รู้จัก “โลดทะนงแดง” ก่อนนำมารับประทาน โลดทะนงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับต้นกระชายมาก ต้นเป็นทรงรูปใบหอก ดอกสีขาวหรือสีชมพูขนาดเล็ก ดอกจะรวมเป็นช่อที่อยู่ระหว่างกลางใบ ต้นจะมีความสูงตั้งแต่ 30-70 เซนติเมตร โดยจะเป็นกลุ่มอยู่รวมกันออกดอกหลายช่อที่ปลายยอดหรือซอกใบ ขยายพันธุ์ด้วยหัวหรือเหง้าและเมล็ด โลดทะนงมีสีแดงหรือสีชมพู ทั้งที่ดอก หัว หรือผล บางต้นก็อาจเป็นสีขาว หรือออกสีน้ำเงินดำด้วย เหง้าของต้นจะมีกลิ่นหอมเล็กน้อย จึงถูกนำมาใช้ทั้งปรุงอาหารเป็นผักรสเผ็ด เฉพาะสำหรับพันธุ์ที่มีสีชมพูหรือสีแดง หัวมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรมากกว่าสีอื่นๆ หรือโลดทะนงขาว ส่วนที่รับประทานได้มี 2 ส่วน หัวใต้ดิน รูปร่างลักษณะคล้ายหัวกระชายแต่ขนาดเล็กกว่า และมีสีจากแดงไปจนถึงม่วงแล้วแต่สายพันธุ์ ใบ รูปร่างคล้ายใบพลูขนาดย่อม ใช้ทำอาหารได้ […]
บอนเต่า บอนป่า พืชทั้งใช้ทำกับข้าว ปลูกเป็นไม้ประดับ และสรรพคุณเด่น บอนเต่า หรือบอนป่า เป็นพืชล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะเด่นของบอนเต่าอยู่ที่ใบที่มีขนาดใหญ่และมีลวดลายสีเขียวเข้มสลับกับสีเขียวอ่อนสวยงาม โดยทั่วไปแล้ว บอนเต่าสามารถเจริญเติบโตได้สูงถึง 1-2 เมตร มักพบในพื้นที่ชุ่มน้ำหรือริมป่า การใช้ประโยชน์ ทำกับข้าว: บอนเต่าเป็นพืชที่สามารถนำมาใช้ประกอบอาหารได้ โดยเฉพาะใบอ่อนที่สามารถนำมาต้ม ผัด แกง หรือทอดได้ ส่วนก้านใบสามารถนำมาทำแกงส้มได้เช่นกัน นอกจากนี้ บอนเต่ายังเป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ จึงดีต่อสุขภาพอีกด้วย ปลูกเป็นไม้ประดับ: ด้วยความที่บอนเต่ามีใบที่มีลวดลายสวยงาม จึงมักถูกนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน อีกทั้งยังมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ จึงเป็นพืชที่ดูแลรักษาง่ายอีกด้วย สรรพคุณเด่น: นอกจากการใช้ประโยชน์ในด้านอาหารและไม้ประดับแล้ว บอนเต่ายังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย เช่น รักษาอาการท้องเสีย: โดยการนำใบบอนเต่ามาต้มน้ำแล้วดื่ม รักษาแผลอักเสบ: โดยการนำใบบอนเต่ามาตำแล้วพอกแผล บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ: โดยการนำใบบอนเต่ามาต้มน้ำแล้วอาบ รักษาโรคผิวหนัง: เช่น กลาก เกลื้อน โดยการนำใบบอนเต่ามาต้มน้ำแล้วใช้ล้างบริเวณที่เป็น จะเห็นได้ว่า บอนเต่าเป็นพืชที่มีประโยชน์หลากหลาย ทั้งในด้านอาหาร ไม้ประดับ และสรรพคุณทางยา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บอนเต่าเป็นพืชที่เป็นที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย
ชงโค สรรพคุณ และวิธีปลูก ชงโค เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กที่พบได้ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ใบของชงโคมีขนาดใหญ่และมีขน ขอบใบหยักฟันเลื่อย ดอกของชงโคมีสีขาวหรือสีชมพูอ่อน มีกลิ่นหอม ผลของชงโคมีขนาดเล็กและมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะมีสีแดง ชงโคมีสรรพคุณทางยาหลากหลาย เช่น ช่วยลดไข้ ช่วยแก้ท้องเสีย ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยรักษาโรคผิวหนัง ช่วยขับพยาธิ ช่วยรักษามะเร็ง การปลูกชงโค ชงโคสามารถปลูกได้ทั้งในดินและในกระถาง โดยมีวิธีการปลูกดังนี้ การเตรียมดิน ดินที่ใช้ปลูกชงโคควรเป็นดินร่วนซุยที่มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถระบายน้ำได้ดี การเตรียมต้นกล้า ต้นกล้าชงโคสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ดหรือการปักชำ โดยการเพาะเมล็ดสามารถทำได้โดยการนำเมล็ดชงโคไปแช่น้ำอุ่นประมาณ 30 นาที จากนั้นนำไปเพาะในแปลงเพาะ โดยให้เมล็ดอยู่ลึกลงไปในดินประมาณ 1 เซนติเมตร ส่วนการปักชำสามารถทำได้โดยการตัดกิ่งชงโคที่มีความยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร จากนั้นนำไปปักชำในแปลงชำ โดยให้กิ่งชงโคอยู่ลึกลงไปในดินประมาณ 5-7 เซนติเมตร การปลูก เมื่อต้นกล้าชงโคมีอายุประมาณ 3-4 เดือน ก็สามารถนำไปปลูกในดินหรือในกระถางได้ โดยให้ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 1-2 เมตร สำหรับการปลูกในดิน ให้ขุดหลุมปลูกที่มีความลึกและกว้างประมาณ 30 เซนติเมตร […]
ผักหนาม ผักป่า ใบกรอบหวาน และสรรพคุณ ผักหนาม (ภาษาอีสานเรียกว่า ผักกาดจาน) เป็นผักพื้นบ้านที่ขึ้นตามป่าเขาหรือตามทุ่งนา ใบของผักหนามมีรสชาติกรอบหวาน นิยมนำมาประกอบอาหาร เนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย สรรพคุณทางยาของผักหนาม บำรุงสายตา ผักหนามมีเบต้าแคโรทีนสูง จึงช่วยบำรุงสายตา ช่วยป้องกันโรคตาต่างๆ ได้ ทั้งยังมีส่วนช่วยชะลอวัย บำรุงผิวหนัง ผักหนามมีวิตามินซีและวิตามินเอ มีส่วนช่วยบำรุงผิวให้มีความแข็งแรง ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย บำรุงกระดูก ผักหนามมีแคลเซียมสูง มีส่วนช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกเสื่อม โรคกระดูกพรุนได้ ช่วยขับปัสสาวะ ผักหนามมีคุณสมบัติช่วยขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายขับโซเดียมส่วนเกินได้ดีขึ้น ช่วยลดอาการบวมน้ำ และช่วยป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ ทั้งยังช่วยลดอาการนิ่วในไตได้ แก้อาการท้องเสีย ผักหนามมีฤทธิ์ฝาดสมาน มีส่วนช่วยแก้อาการท้องเสีย ท้องร่วงได้ แก้อาการปวดหัว แก้อาการไข้ ผักหนามมีฤทธิ์แก้ปวด ช่วยลดอาการปวดหัว ปวดฟัน และมีส่วนช่วยแก้อาการไข้ได้ แก้อาการคัน ผักหนามมีฤทธิ์เย็น ใช้แก้ผื่นคัน ผื่นแพ้ได้ ป้องกันโรคมะเร็ง ผักหนามมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอีกด้วย ข้อควรระวังในการรับประทานผักหนาม ผู้ที่มีโรคไตเรื้อรังควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักหนาม เพราะผักหนามมีโพแทสเซียมสูง […]
ว่านเศรษฐีเรือนนอก ว่านเศรษฐีเรือนนอก เป็นว่านที่ได้รับนิยมปลูกมาแต่โบราณ โดยเชื่อกันว่าเป็นว่านที่มีความเป็นมงคล โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ และยังมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรอีกด้วย ประโยชน์ของว่านเศรษฐีเรือนนอก เสริมสิริมงคล: ว่านเศรษฐีเรือนนอกมีชื่อเป็นมงคล จึงเชื่อกันว่าจะช่วยเสริมสิริมงคลให้กับผู้ปลูก โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ ช่วยดูดสารพิษ: ว่านเศรษฐีเรือนนอกมีคุณสมบัติช่วยดูดสารพิษในอากาศได้ หากปลูกไว้ในบ้านหรือที่ทำงานก็จะช่วยให้บรรยากาศภายในปลอดโปร่งสดชื่นยิ่งขึ้น เป็นสมุนไพร: ว่านเศรษฐีเรือนนอกมีสรรพคุณเป็นสมุนไพร โดยมีการนำใบมาต้มน้ำดื่มเพื่อรักษาอาการเจ็บปวดต่างๆ และยังสามารถนำมาตำผสมกับน้ำผึ้งเพื่อทาแผล เพื่อช่วยสมานแผลได้อีกด้วย วิธีปลูกว่านเศรษฐีเรือนนอก เลือกดินที่เหมาะสม: ว่านเศรษฐีเรือนนอกชอบดินร่วนซุยที่มีการระบายน้ำได้ดี ดังนั้นควรเลือกใช้ดินร่วนหรือดินใบก้ามปูผสมกับดินทรายหรือแกลบดำ เลือกกระถางที่เหมาะสม: กระถางที่เหมาะสำหรับปลูกว่านเศรษฐีเรือนนอกควรเป็นกระถางที่มีขนาดใหญ่พอสมควรเพื่อให้รากของว่านได้แผ่กว้าง วางกระถางในที่ที่มีแสงแดดรำไร: ว่านเศรษฐีเรือนนอกชอบแสงแดดรำไร ดังนั้นจึงควรวางกระถางในบริเวณที่มีแสงแดดรำไรหรือมีร่มเงา รดน้ำให้พอเหมาะ: ว่านเศรษฐีเรือนนอกเป็นว่านที่ไม่ชอบน้ำมาก ต้องการน้ำเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้น ดังนั้นควรระมัดระวังในการรดน้ำ อย่าให้น้ำขังที่โคนต้น ใส่ปุ๋ย: ควรใส่ปุ๋ยให้ว่านเศรษฐีเรือนนอกทุก 1-2 เดือน โดยอาจใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยเคมีสูตรเสมอเพื่อช่วยให้ว่านเจริญเติบโตได้อย่างดี ข้อควรระวังในการปลูกว่านเศรษฐีเรือนนอก อย่าให้น้ำขังที่โคนต้นเพราะอาจทำให้ว่านเน่าตายได้ อย่าปลูกว่านเศรษฐีเรือนนอกในบริเวณที่มีแสงแดดจัด เพราะอาจทำให้ใบไหม้ได้ ควรหมั่นสังเกตว่านเศรษฐีเรือนนอกเพื่อดูว่ามีโรหรือแมลงรบกวนหรือไม่ และควรกำจัดออกทันทีเพื่อไม่ให้แพร่ไปยังต้นอื่น
ว่านมหากาฬ ว่านมหากาฬ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Tacca leontopetaloides) เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปีในตระกูล Dioscoreaceae มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเขตร้อนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ พบในอินเดีย เนปาล ภูฏาน บังกลาเทศ ศรีลังกา พม่า ไทย และมาเลเซีย ลักษณะเด่นของว่านมหากาฬได้แก่ มีหัวใต้ดินขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15-20 เซนติเมตร เปลือกหัวมีสีน้ำตาลเข้ม เนื้อหัวมีสีขาวอมเหลือง มีรากจำนวนมาก ยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปหอก ปลายใบแหลม โคนใบเว้าลึกเป็นรูปหัวใจ ขอบใบจักฟันถี่ ก้านใบยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร ดอกออกเดี่ยวบริเวณยอด มีกลีบเลี้ยง 6 กลีบ รูปใบหอก ปลายเรียวแหลม กลีบดอก 6 กลีบ รูปใบหอก ปลายเรียวแหลม สีน้ำเงินเข้ม มีเกสรตัวผู้ 6 อัน เกสรตัวเมีย 1 อัน ผลเป็นผลสด […]
ว่านนางคุ้ม[ว่านผู้เฒ่าเฝ้าบ้าน] และการปลูกว่านนางคุ้ม ว่านนางคุ้ม หรือที่รู้จักกันในชื่ออื่นๆ เช่น ว่านผู้เฒ่าเฝ้าบ้าน เป็นพืชล้มลุกที่มีหัวอยู่ใต้ดิน ลำต้นและใบมีลักษณะเป็นเส้นเรียวยาว สีเขียวเข้ม บริเวณปลายใบมีหนามแหลมคม ดอกมีสีขาวหรือสีชมพูอ่อน มีกลีบดอก 5 กลีบ และออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอด ว่านนางคุ้มเป็นพืชที่มีความทนทาน สามารถปลูกได้ในดินทุกประเภท ชอบแดดจัด และต้องการน้ำในปริมาณน้อย ว่านนางคุ้มมีสรรพคุณทางยาหลายประการ เช่น ช่วยบำรุงหัวใจและระบบประสาท แก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงร่างกาย บำรุงผิวพรรณ แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้ปวดบวม แก้ช้ำ หรือใช้เป็นยาพอกรักษาแผลสด เป็นต้น นอกจากนี้ ว่านนางคุ้มยังมีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะอ่อนๆ สามารถช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้ด้วย การปลูกว่านนางคุ้มสามารถทำได้ทั้งในกระถางและลงดิน แต่ถ้าปลูกในกระถางควรเลือกกระถางที่มีขนาดใหญ่พอสมควร เพื่อให้หัวมีพื้นที่ในการเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ ดินที่ใช้ปลูกว่านนางคุ้มควรเป็นดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี และมีการระบายอากาศที่ดี ผสมกับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกในอัตราส่วน 1:1 รดน้ำให้ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรแฉะจนเกินไป วางกระถางในที่มีแดดจัด เพื่อให้ว่านนางคุ้มเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่
กระชายดำとは กระชายดำเป็นพืชที่มีหัวใต้ดิน และเป็นสมาชิกของวงศ์ขิง กระชายดำมักใช้ในการทำยา และมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย รวมถึงการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยต้านการอักเสบ สรรพคุณของกระชายดำ กระชายดำมีสรรพคุณมากมาย รวมถึง ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยกระชายดำมีสารเคมีที่ออกฤทธิ์เช่นเดียวกับอินซูลิน และช่วยให้ร่างกายใช้กลูโคสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความดันโลหิต โดยกระชายดำมีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิตในสัตว์ทดลอง และในคนจำนวนน้อย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล โดยกระชายดำมีสารเคมีที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในสัตว์ทดลอง และในคนจำนวนน้อย ช่วยต้านการอักเสบ โดยกระชายดำมีสารเคมีที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และอาจช่วยลดอาการอักเสบต่างๆ ในร่างกายได้ ช่วยเพิ่มสมดุลของฮอร์โมน โดยกระชายดำมีสารเคมีที่ช่วยเพิ่มสมดุลของฮอร์โมนในสัตว์ทดลอง และในคนจำนวนน้อย ช่วยเพิ่มความจำ และการเรียนรู้ กระชายดำมีส่วนผสมที่ทำให้ความจำและการเรียนรู้ดีขึ้น การปลูกกระชายดำ กระชายดำสามารถปลูกได้ในดินที่อุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำได้ดี ควรปลูกกระชายดำในช่วงฤดูฝน หรือในช่วงที่ดินมีความชื้นสูง ควรเตรียมดินโดยการไถพรวนและกำจัดวัชพืช จากนั้นก็ปลูกกระชายดำได้ ควรรดน้ำกระชายดำอย่างสม่ำเสมอ และควรใส่ปุ๋ยให้กับกระชายดำเป็นประจำ กระชายดำจะใช้เวลาประมาณ 8-12 เดือนในการเจริญเติบโตเต็มที่ และสามารถเก็บเกี่ยวได้ในช่วงฤดูหนาว