Tag Archives: พืชไร่

ดอกดิน ใช้หุงนึ่งข้าว เด่นต้านมะเร็ง แก้ไอ ลดไข้ แก้โรคข้อกระดูก

สารานุกรมสมุนไพรไทย ดอกดิน คำแปลชื่อพื้นเมือง : ขัดข่า, ขัญ, ดินคู่ (เหนือ : กำแพงดิน, กำแพงหิน, ขยั้นหิน) (ตะวันออกเฉียงเหนือ : งัวหล่อคา, ขาตองหงาย, ต้นหงาย) ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลาง : ต้นดิน, ต้นดินคู่, ดอนดิน, ดันดิน, ดินคู่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : กำแพงดิน, กำแพงหิน, ขยั้นหิน, ขยั้นหินคู่, งัวหล่อคา, ต้นหงาย, ต้นหงายคว่ำ, บัวขาว, บัวดิน ภาคเหนือ : กำแพงดิน, ขยั้น, ขยั้นหิน, ขัดข่า, ขัญ, จันทน์แปด, จันทน์แปดถิ่น ภาคใต้ : ต้นดิน, ต้นดินคู่ ชื่ออื่นๆ : Crinum, Finger of […]

เงาะ(rambutan) เงาะโรงเรียน และการปลูกเงาะ

เงาะ เงาะเป็นผลไม้เมืองร้อนที่อยู่ในตระกูลเดียวกับลิ้นจี่และลองกอง เงาะมีลักษณะเป็นผลกลมรี เปลือกนอกมีขนอ่อนสีเขียวอมน้ำตาลหรือออกแดงเมื่อสุก เนื้อในมีรสหวานอมเปรี้ยวและมีเมล็ดสีน้ำตาลอยู่ตรงกลาง เงาะโรงเรียน เงาะโรงเรียนเป็นพันธุ์เงาะที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย มีลักษณะเด่นคือมีขนาดผลใหญ่ เปลือกมีสีเขียวอมน้ำตาล เมื่อสุกจะมีสีแดงเข้ม เนื้อในมีสีขาวอมเหลือง รสชาติหวานกรอบ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เงาะโรงเรียนนิยมปลูกในจังหวัดทางภาคใต้ของไทย การปลูกเงาะ การปลูกเงาะสามารถทำได้ทั้งแบบใช้เมล็ดและกิ่งตอน วิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือการใช้กิ่งตอน โดยเริ่มจากการเตรียมดินโดยการไถพรวนให้ลึกประมาณ 30-40 เซนติเมตร แล้วใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรองพื้น จากนั้นขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50×50 เซนติเมตร ห่างกันประมาณ 8-10 เมตร นำกิ่งตอนที่เตรียมไว้ลงปลูก กลบดินและรดน้ำให้ชุ่ม การดูแลเงาะต้องใส่ปุ๋ยและให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ติดผล หากปลูกในช่วงฤดูร้อนควรให้น้ำทุกวัน แต่ถ้าปลูกในช่วงฤดูฝนอาจให้น้ำน้อยลง ในระหว่างการปลูกอาจมีแมลงหรือโรคพืชเข้ามารบกวนได้ จึงต้องหมั่นตรวจสอบและกำจัดอย่างถูกวิธี เงาะจะเริ่มให้ผลผลิตในช่วงอายุ 4-5 ปีหลังจากปลูก ผลจะสุกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม เมื่อเงาะสุกจะมีรสชาติหวานอร่อยเป็นที่นิยมบริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ

วิธีปลูกผักสวนครัวให้งาม ปลอดแมลง และปลอดสารพิษ

วิธีการปลูกผักสวนครัวให้เจริญงอกงาม สุขภาพดี และปลอดภัย การปลูกผักสวนครัวเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเพลิดเพลินกับอาหารปลอดสารพิษที่ปลูกได้เอง แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำตามเคล็ดลับบางประการเพื่อให้แน่ใจว่าพืชของคุณจะเจริญงอกงาม ปราศจากโรคและแมลง และปลอดภัยที่จะบริโภค การเตรียมดิน ก่อนที่คุณจะเริ่มปลูกผัก สิ่งสำคัญคือต้องเตรียมดินให้เหมาะสม ดินควรโปร่ง ร่วนซุย และระบายน้ำได้ดี คุณสามารถปรับปรุงดินด้วยการเติมปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก นอกจากนี้ ให้ตรวจสอบค่า pH ของดินเพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในช่วง 6.0-7.0 การเลือกเมล็ดพันธุ์ เมื่อคุณเลือกเมล็ดพันธุ์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นสายพันธุ์ที่ต้านทานโรคและแมลง หากเป็นไปได้ ให้เลือกสายพันธุ์ที่เติบโตในสภาพอากาศท้องถิ่นของคุณ สิ่งนี้จะช่วยให้ต้นกล้าของคุณเติบโตอย่างแข็งแรงและต้านทานปัญหาได้ดีขึ้น การเริ่มต้นจากเมล็ด หากคุณเริ่มต้นต้นกล้าจากเมล็ด ให้ปลูกเมล็ดในภาชนะที่เต็มไปด้วยพรวนดินเริ่มต้น วางเมล็ดไว้ที่ความลึกตามคำแนะนำบนซองเมล็ด และรดน้ำให้ทั่ว วางภาชนะในบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึง และรักษาให้ดินชุ่มชื้น การปลูกในแปลง เมื่อต้นกล้าของคุณเติบโตได้ประมาณ 6 นิ้ว ก็พร้อมที่จะนำไปปลูกในแปลง แยกต้นกล้าให้ห่างกันพอสมควรตามคำแนะนำบนซองเมล็ด รดน้ำต้นกล้าให้ทั่วและมัดให้เข้ากับไม้ค้ำยันหากจำเป็น การรดน้ำ ผักสวนครัวต้องใช้น้ำเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อน รดน้ำต้นไม้ของคุณที่โคนต้นโดยตรง หลีกเลี่ยงการฉีดน้ำไปที่ใบเพราะอาจทำให้เกิดโรคได้ การให้ปุ๋ย ผักสวนครัวจะได้ประโยชน์จากการใส่ปุ๋ยเป็นประจำ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยไส้เดือนหรือสาหร่ายทะเลทุกๆ สองสามสัปดาห์ การป้องกันแมลง มีวิธีธรรมชาติมากมายในการป้องกันแมลงในสวนของคุณ ฉีดน้ำจากสายยางแรงๆ […]

มะเฟือง สรรพคุณ และการปลูกมะเฟือง

มะเฟือง มะเฟือง เป็นผลไม้รสเปรี้ยว มีลักษณะเป็นเหลี่ยม 5 พู โดยทั่วไปแล้วมะเฟืองจะมีสีเขียวและจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อสุก มะเฟืองอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก สรรพคุณของมะเฟือง ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและไอ ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง การปลูกมะเฟือง มะเฟืองเป็นพืชที่ปลูกง่าย สามารถปลูกได้ในดินทุกประเภท โดยทั่วไปแล้วมะเฟืองจะปลูกโดยการเพาะเมล็ด โดยนำเมล็ดมะเฟืองไปแช่น้ำอุ่นทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำไปเพาะในถุงเพาะหรือกระถาง โดยใช้ดินร่วนปนทราย อัตรา 2:1 รดน้ำให้ชุ่มและวางไว้ในที่ร่ม เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 1 เดือน ก็สามารถย้ายลงปลูกในแปลงได้ โดยขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก จากนั้นนำต้นกล้าลงปลูก กลบดินและรดน้ำให้ชุ่ม มะเฟืองเป็นพืชที่ชอบแดด แต่ก็สามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มรำไร ควรรดน้ำมะเฟืองเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง และควรใส่ปุ๋ยให้กับมะเฟืองทุกๆ 3-4 เดือน โดยใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1 กิโลกรัมต่อโคนต้น

แมคคาเดเมีย(macadamia) สรรพคุณ และการปลูกแมคคาเดเมีย

แมคคาเดเมีย แมคคาเดเมีย (Macadamia) เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดในออสเตรเลียและเป็นแหล่งผลิตถั่วที่สำคัญในหลายภูมิภาคทั่วโลก เนื่องจากมีรสชาติที่นุ่มนวลและคุณค่าทางโภชนาการสูง ถั่วแมคคาเดเมียอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยเฉพาะกรดโอเลอิก ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (ไม่ดี) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอล HDL (ดี) นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ เช่น โพลีฟีนอลและฟลาโวนอยด์ ซึ่งช่วยปกป้องเซลจากความเสียหายของอนุมูลอิสระ สรรพคุณของแมคคาเดเมีย ลดระดับคอเลสเตอรอลและบำรุงหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันการเกิดมะเร็งด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงระบบประสาทและสมอง บรรเทาอาการกระดูกพรุนด้วยปริมาณแมกนีเซียมที่สูง รักษาสุขภาพระบบย่อยอาหารด้วยไฟเบอร์ บำรุงผิวและเส้นผมด้วยกรดไขมันที่จำเป็น การปลูกแมคคาเดเมีย การปลูกแมคคาเดเมียต้องอาศัยสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีฤดูหนาวที่สั้นและฤดูใบไม้ผลิที่ยาว อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของต้นแมคคาเดเมียอยู่ระหว่าง 15-25 องศาเซลเซียส ก่อนปลูกควรเตรียมดินให้ร่วนซุยและมีการระบายน้ำที่ดี ควรปลูกต้นในหลุมปลูกที่มีขนาดใหญ่พอและมีการเว้นระยะห่างระหว่างต้นที่เหมาะสมซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 7-9 เมตร การดูแลต้นแมคคาเดเมียต้องให้ทั้งแสงแดด น้ำ และสารอาหารที่เพียงพอ อาจจำเป็นต้องรดน้ำเป็นประจำโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน และควรให้ปุ๋ยตามความต้องการของต้นไม้ตามคำแนะนำฉลากผลิตภัณฑ์ โดยทั่วไป ต้นแมคคาเดเมียจะเริ่มให้ผลผลิตถั่วในช่วงอายุ 5-7 ปี การเก็บเกี่ยวจะทำโดยใช้เครื่องจักรหรือเก็บด้วยมือเมื่อถั่วแก่จัดและแตกออกจากเปลือกได้ง่าย

ไม้ผลรับประทาน

ไม้ผลรับประทาน ไม้ผลรับประทานเป็นพืชล้มลุกหรือไม้พุ่มที่ปลูกเพื่อให้ผลผลิตเป็นผลไม้ที่สามารถรับประทานได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปใดๆ ไม้ผลรับประทานมีหลายชนิดแต่ละชนิดมีความต้องการสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ไม้ผลรับประทานมีประโยชน์มากมายต่อร่างกายมนุษย์ ผลไม้ต่างๆ อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็ง นอกจากนี้การบริโภคผลไม้ยังช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสได้อีกด้วย ไม้ผลรับประทานสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่มตามลักษณะผล เช่น ไม้ผลที่มีเนื้อนุ่ม เช่น มะม่วง ทุเรียน ลำไย เงาะ มังคุด ไม้ผลที่มีเนื้อกรอบ เช่น แอปเปิ้ล สาลี่ ลูกแพร์ องุ่น ไม้ผลที่มีเนื้อแข็ง เช่น อะโวคาโด กล้วยหอม ขนุน แตงโม ไม้ผลที่มีเมล็ดเยอะ เช่น ส้ม องุ่น ลูกเกด ทับทิม การปลูกไม้ผลรับประทานสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายขั้นตอน ดังนี้ การเตรียมดิน ดินที่เหมาะสำหรับปลูกไม้ผลรับประทานควรเป็นดินร่วนระบายน้ำได้ดี มีความอุดมสมบูรณ์สูง และมีค่า pH ที่เหมาะสมกับแต่ละชนิดของไม้ผล การปลูก โดยทั่วไปสามารถปลูกไม้ผลรับประทานได้ทั้งในฤดูฝนและฤดูหนาว โดยขุดหลุมกว้างและลึกประมาณ 50 * […]

ผักหนาม ผักป่า ใบกรอบหวาน และสรรพคุณ

ผักหนาม ผักป่า ใบกรอบหวาน สรรพคุณครบ ผักหนามเป็นผักป่าที่มีใบสีเขียวสด กรอบ ลักษณะใบคล้ายใบกระเพรา แต่มีขนาดใหญ่กว่า ก้านใบสีขาวอวบ ผักหนามมีรสชาติหวาน กรอบ นิยมนำมาใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น แกงเผ็ด ผัดเผ็ด ต้มยำ นอกจากความอร่อยแล้ว ผักหนามยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจอีกมากมาย คุณค่าทางโภชนาการ ในผักหนาม 100 กรัม ประกอบไปด้วยสารอาหารดังนี้ พลังงาน 18 กิโลแคลอรี โปรตีน 2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3 กรัม ไฟเบอร์ 1 กรัม วิตามินซี 46 มิลลิกรัม (77% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน) แคลเซียม 25 มิลลิกรัม (3% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน) ฟอสฟอรัส 40 มิลลิกรัม (6% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน) สรรพคุณทางยา จากการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า ผักหนามมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย เช่น ต้านอนุมูลอิสระ: […]

เตย/ใบเตย สรรพคุณ และการปลูกเตย

เตย/ใบเตย เตย หรือ ใบเตย เป็นพืชล้มลุกที่มีใบยาว มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว นิยมใช้ในเมนูอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย สรรพคุณ บรรเทาอาการปวดท้อง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ บำรุงเลือด บำรุงเส้นผม บำรุงผิวพรรณ ขับเหงื่อ แก้ไข้ แก้ไอ การปลูกเตย เตยเป็นพืชที่ปลูกง่าย สามารถปลูกได้ในดินร่วนซุยที่มีความชื้นสูง การปลูกเตยทำได้โดยการแยกกอจากต้นแม่มาปลูก โดยให้มีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 25-30 เซนติเมตร และฝังโคนต้นลึกลงไปในดินประมาณ 5-7 เซนติเมตร รดน้ำให้ชุ่มและหมั่นดูแลรักษาโดยการรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ

ว่านนางคำ และสรรพคุณว่านนางคำ

ว่านนางคำ ว่านนางคำจัดเป็นพืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดินเป็นเหง้า รูปทรงกลม รี หรือคล้ายกระสวย ขนาดประมาณ 3-10 เซนติเมตร เปลือกด้านนอกมีสีน้ำตาลอมเหลือง เนื้อในสีเหลืองอ่อนถึงเหลืองเข้ม ใบเป็นใบเดี่ยว ลักษณะปลายใบมน ฐานใบสอบแคบ ก้านใบกลม ตรงกลางลำต้นมีใบแท้ 1-2 ใบ เรียงซ้อนสลับกัน ก้านใบค่อนข้างกลม ยาว 15-25 เซนติเมตร ใบมีขนาด 15-20 x 7-10 เซนติเมตร แผ่นใบหนา เกลี้ยง ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย โคนใบสอบแคบ ปลายใบมน สรรพคุณว่านนางคำ ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ช่วยรักษาโรคหัวใจ ช่วยแก้อาการอักเสบ ช่วยลดความเครียด ช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ช่วยลดอาการปวดหัว ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน

ไม้ผลรับประทาน

การเลือกรับประทานไม้อินทผาลัม ไม้อินทผาลัมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหาร เช่น ไฟเบอร์ โพแทสเซียม วิตามินซี และแอนติออกซิแดนท์ อย่างไนอาซินและโพลีฟีนอล แต่ไม่ใช่ทุกส่วนของต้นอินทผาลัมที่สามารถบริโภคได้ ดังนั้นการเลือกรับประทานไม้อินทผาลัมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนที่สามารถบริโภคได้: ผลไม้: ผลอินทผาลัมดิบมีรสชาติฝาด ส่วนผลสุกมีรสหวาน ชุ่มฉ่ำ สามารถใช้ปรุงเป็นของหวาน เครื่องดื่ม และส่วนผักในอาหารได้ ลำต้นส่วนใน: ลำต้นส่วนในของต้นอินทผาลัม หรือที่เรียกว่า “หัวใจปาล์ม” สามารถนำไปปรุงอาหารได้เช่นเดียวกับยอดไม้ เช่น นำไปผัด ต้ม จิ้มจุ่ม หรือใช้เป็นส่วนผักในสลัด ยอดอวบ: ยยอดอวบของต้นอินทผาลัมสามารถนำไปปรุงอาหารได้เช่นเดียวกับหัวใจปาล์ม แต่มีรสชาติที่หวานกว่า ส่วนที่ไม่ควรบริโภค: ใบ: ใบอินทผาลัมมีขอบที่แหลมคมและอาจทำให้เกิดบาดแผลได้ ลำต้นส่วนนอก: ลำต้นส่วนนอกของต้นอินทผาลัมแข็งและเป็นไม้น้ำมากเกินไปจึงไม่สามารถบริโภคได้ หนาม: ต้นอินทผาลัมมีหนามคมที่โคนก้านใบและบริ เวณโคนต้น หากสัมผัสโดนหนามอาจทำให้เกิดอาการคันและระคาย