Tag Archives: พืชผัก

ยี่หุบ ประโยชน์ สรรพคุณ และการปลูกยี่หุบ

ยี่หุบ ประโยชน์ สรรพคุณ และการปลูก ยี่หุบ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Vitex negundo L.) เป็นพืชในวงศ์ Lamiaceae เป็นไม้พุ่มผลัดใบชนิดหนึ่ง พบทั่วไปตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าชายหาดทั่วไปมีความสูงประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นเป็นเหลี่ยม ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว ออกตรงข้ามกัน รูปไข่ ปลายแหลม ขอบจักฟัน ดอกช่อ ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกเล็กสีขาว ผลแห้งแตกได้ มีเมล็ด 4 เมล็ด ประโยชน์ของยี่หุบ ใบ ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ แก้ไข้ แก้ไอ แก้หอบหืด แก้ปวดประจำเดือน ขับน้ำคาวปลาหลังคลอดบุตร ดอก ใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้ไอ แก้หอบหืด แก้ปวดประจำเดือน ขับน้ำคาวปลาหลังคลอดบุตร ผล ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ […]

หญ้าชันกาด สรรพคุณ และวิธีกำจัดหญ้าชันกาด

หญ้าชันกาด หญ้าชันกาด เป็นวัชพืชที่มีลักษณะเป็นหญ้าที่มีความสูงประมาณ 30-45 เซนติเมตร ลำต้นตรงมีสีเขียวหรือสีแดง เรียบเกลี้ยง ไม่แตกกอ ใบแตกใบเดี่ยว มีลักษณะคล้ายใบหญ้าทั่วไป ออกเป็นสองข้างเรียงสลับกัน มีขนาดความยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อกระจุกแน่น มีสีเขียวหรือสีน้ำตาล หญ้าชันกาดเป็นวัชพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพแวดล้อม พบได้ทั่วไปตามข้างทาง ทุ่งนา ไร่ หากไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตได้ หญ้าป่าชนิดนี้จะกลายเป็นวัชพืชที่จะเข้าแปดแย่งอาหารจากพืชไร่ได้ดี สรรพคุณของหญ้าชันกาด ช่วยแก้อาการแพ้ต่างๆ หญ้าชันกาดมีสรรพคุณช่วยแก้อาการแพ้ต่างๆ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคผิวหนังอักเสบ โรคลมพิษ โดยนำใบของหญ้าชันกาดมาตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำ แล้วนำมาดื่ม หรือใช้ใบหญ้าชันกาดมาต้มกับน้ำ แล้วนำน้ำที่ได้มาอาบ ข้อควรระวัง ไม่ควรรับประทานหรือใช้หญ้าชันกาดในผู้หญิงที่มีครรภ์ ผู้ที่ให้นมบุตร และผู้ที่มีอาการปวดกระเพาะ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ช่วยรักษาโรคปอด หญ้าชันกาดมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคปอดต่างๆ เช่น โรคหลอดลมอักเสบ โรคหอบหืด โรคปอดบวม โดยนำรากของหญ้าชันกาดมาต้มกับน้ำ แล้วนำน้ำที่ได้มาดื่ม ข้อควรระวัง ไม่ควรรับประทานหรือใช้หญ้าชันกาดในผู้หญิงที่มีครรภ์ ผู้ที่ให้นมบุตร และผู้ที่มีอาการปวดกระเพาะ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ช่วยขับปัสสาวะ หญ้าชันกาดมีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ โดยนำใบหญ้าชันกาดมาตำให้ละเอียด […]

ผักคะน้า และการปลูกคะน้า

ผักคะน้า ผักคะน้า (Brassica oleracea var. alboglabra) เป็นผักที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน มีอีกชื่อหนึ่งคือผักกาดเครา คะน้าเป็นพืชล้มลุก มีลำต้นตั้งตรง ใบมีลักษณะเป็นหยักมนคล้ายฟันเลื่อย ผลเป็นฝักกลมยาว ภายในมีเมล็ดสีน้ำตาลหรือสีดำ การปลูกคะน้า การเตรียมดิน ไถพรวนดินให้ร่วนซุย ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 2-3 ตันต่อไร่ ยกร่องสูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร กว้างประมาณ 70-80 เซนติเมตร การปลูก หว่านเมล็ดคะน้าให้ทั่วแปลงปลูก กดดินให้แน่นเพื่อให้เมล็ดสัมผัสกับดิน รดน้ำให้ชุ่ม การดูแลรักษา รดน้ำให้สม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ในอัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ หลังจากปลูกได้ 15-20 วัน กำจัดวัชพืชเป็นประจำ ป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช การเก็บเกี่ยว เก็บเกี่ยวคะน้าเมื่อมีอายุประมาณ 30-45 วันหลังจากปลูก ตัดคะน้าที่อยู่บริเวณโคนต้นด้วยมีดหรือกรรไกร ล้างคะน้าให้สะอาดก่อนนำไปปรุงอาหาร

โป๊ยเซียน/ดอกโป๊ยเซียน(crown Of Thorns Plant) และการปลูกโป๊ยเซียน

โป๊ยเซียน/ดอกโป๊ยเซียน(crown Of Thorns Plant) ดอกโป๊ยเซียน เป็นดอกไม้ที่มีความโดดเด่นสะดุดตา ด้วยรูปทรงที่คล้ายมงกุฎหนาม และมีสีสันที่สดใส ดอกโป๊ยเซียนเป็นดอกไม้ที่มีความเป็นมงคลและมีความเชื่อว่าจะนำโชคลาภมาให้กับผู้ที่ปลูก ดอกโป๊ยเซียนยังเป็นดอกไม้ที่เลี้ยงง่ายและทนทานต่อสภาพอากาศ การปลูกโป๊ยเซียน โป๊ยเซียนเป็นพืชที่ปลูกง่าย การปลูกโป๊ยเซียนสามารถปลูกได้ทั้งในกระถางและลงดิน สำหรับการปลูกโป๊ยเซียนในกระถาง ควรเลือกใช้กระถางที่มีขนาดใหญ่และมีรูระบายน้ำที่ก้นกระถาง ดินที่ใช้ปลูกโป๊ยเซียนควรเป็นดินร่วนซุยและมีการระบายน้ำที่ดี สำหรับการรดน้ำโป๊ยเซียน ควรรดน้ำเพียงเล็กน้อยและรดน้ำสัปดาห์ละครั้ง สำหรับการใส่ปุ๋ยโป๊ยเซียน ควรใส่ปุ๋ยละลายช้าเดือนละครั้ง เพื่อช่วยให้โป๊ยเซียนเจริญเติบโตได้ดีและออกดอกได้อย่างสวยงาม โป๊ยเซียนเป็นดอกไม้ที่ชอบแสงแดดจัด ควรปลูกโป๊ยเซียนในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง การปลูกโป๊ยเซียนในที่ที่มีแสงแดดเพียงพอจะช่วยให้โป๊ยเซียนออกดอกได้อย่างสวยงามและมีสีสันที่สดใส โป๊ยเซียนเป็นดอกไม้ที่มีความเป็นมงคลและมีความเชื่อว่าจะนำโชคลาภมาให้กับผู้ที่ปลูก ดอกโป๊ยเซียนยังเป็นดอกไม้ที่เลี้ยงง่ายและทนทานต่อสภาพอากาศ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลามากนัก แต่ต้องการปลูกดอกไม้เพื่อความสวยงามและเป็นสิริมงคลให้กับบ้าน

เพกา/ลิ้นฟ้า สรรพคุณ และการปลูกเพกา

เพกา/ลิ้นฟ้า สรรพคุณของเพกา เพกาจัดเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยาหลากหลาย โดยเฉพาะรากและใบมีสรรพคุณทางยาสูงสุด แต่ไม่นิยมนำมาใช้เป็นยาโดยทั่วไป เนื่องจากมีรสขมจัด แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้กระหายจากธาตุร้อน แก้ท้องร่วง แก้โรคกระเพาะ ใบเพกาตากแห้ง มีรสหวานอมเปรี้ยว รักษาอาการท้องเสีย ท้องร่วง หิด เชื้อรา กินใบหรือราก แล้วกัดผ้าพันแผล แล้วปิดที่บริเวณแผล แก้ไข้หัวลม ตับร้อน หัวใจเป็นพิษ บำรุงสายตา ลดไข้ อาเจียน แก้กระษัย เริม งูสวัด ช่วยขับลม แก้ท้องอืด รากเพกา มีสรรพคุณในการรักษาอาการท้องเสีย ท้องร่วง ตำรายาแผนโบราณใช้ใบใช้พอกแก้โรคผิวหนัง เช่นกลาก เกลื้อน กุดถัง แก้ตาอักเสบเป็นฝ้า แก้แมลงกัดต่อย การปลูกเพกา การเตรียมดิน ควรเลือกปลูกในดินร่วนซุยที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง โดยขุดหลุมปลูกขนาด 50 x 50 x 50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก แล้วกลบดินให้แน่น จากนั้นรดน้ำให้ชุ่ม การปลูก ใช้ต้นกล้าเพกาอายุประมาณ 6-8 […]

หม่อน/ใบหม่อน (mulberry) ประโยชน์ และสรรพคุณหม่อน

หม่อน/ใบหม่อน (mulberry) คืออะไร? หม่อนหรือใบหม่อน (mulberry) เป็นพืชชนิดหนึ่งในวงศ์ Moraceae เป็นไม้ผลัดใบขนาดเล็กหรือขนาดกลาง มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก แต่ในปัจจุบันสามารถพบได้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ใบหม่อนมีรูปร่างเป็นรูปหัวใจหรือรูปไข่ มีขอบหยักและมีสีเขียวสดใส ผลหม่อนมีรูปร่างเป็นทรงกลมหรือทรงยาว มีสีดำหรือสีแดงเข้ม มีรสชาติหวานและฉ่ำ หม่อนเป็นพืชที่ปลูกง่ายและสามารถเจริญเติบโตได้ในหลากหลายสภาพดิน ประโยชน์ของหม่อน ใบหม่อนมีประโยชน์ทางโภชนาการมากมาย โดยอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น วิตามินซี วิตามินเค โพแทสเซียม เหล็ก และแมกนีเซียม นอกจากนี้ ใบหม่อนยังเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย นอกจากจะรับประทานสดเป็นผักแล้ว ใบหม่อนยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ชาใบหม่อน น้ำใบหม่อน ไวน์ใบหม่อน และยาสมุนไพร ผลหม่อนก็อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย สรรพคุณของหม่อน หม่อนมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย เช่น บำรุงสายตา: สรรพคุณนี้ของใบหม่อนมาจากสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และสารกลุ่มแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ซึ่งมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องดวงตาจากการเสื่อมสภาพเช่น โรคจอประสาทตาเสื่อม ลดระดับน้ำตาลในเลือด: ใบหม่อนมีสารกลุ่มแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ซึ่งมีฤทธิ์ในสารสกัดในการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มการผลิตอินซูลินในเซลล์ตับอ่อน ช่วยลดความดันโลหิต: มีงานวิจัยที่ค้นพบว่าใบหม่อนมีสรรพคุณในการช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับคอเลสเตอรอล: […]

คนทีสอ ประโยชน์ และสรรพคุณคนทีสอ

คนทีสอ คนทีสอ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cassia fistula L.) เป็นพันธุ์ไม้ยืนต้นในสกุลชงโค (Cassia) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (Fabaceae) ต้นคนทีสอมีลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นตรง เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทา ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ แผ่นใบย่อยมีรูปร่างมนรี ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบดอกมีสีเหลืองสด ผลเป็นฝักแบนเรียวยาว ภายในมีเนื้อเยื่อสีน้ำตาลดำและเมล็ดจำนวนมาก ประโยชน์ของคนทีสอ เนื้อไม้ ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และของใช้ต่างๆ เปลือกไม้ ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิและยาขับปัสสาวะ ใบ ใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้ไอ และลดความดันโลหิต ดอก ใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนังและยาบำรุงหัวใจ ผล ใช้เป็นยาถ่าย และรักษาโรคระบบทางเดินอาหาร สรรพคุณของคนทีสอ แก้มื้อเรื้อรัง และอาการท้องผูก ช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้และช่วยหล่อลื่นลำไส้ ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น รักษาโรคผิวหนัง ช่วยลดการอักเสบและการระคายเคืองของผิวหนัง บรรเทาอาการท้องเสีย ช่วยดูดซับน้ำส่วนเกินในลำไส้ ทำให้ถ่ายได้น้อยลง บรรเทาอาการปวดท้อง ช่วยลดการเกร็งของกล้ามเนื้อในลำไส้ ลดความดันโลหิตสูง ช่วยขยายหลอดเลือดและลดความต้านทานต่อการไหลเวียนของเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยกระตุ้นการผลิตอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยขนส่งน้ำตาลจากเลือดเข้าสู่เซลล์ ต่อต้านการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง […]

ดอกกระเจียว และทุ่งดอกกระเจียว

ดอกกระเจียว หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “ดอกกระเจียวแดง” เป็นดอกไม้ป่าที่มีชื่อเสียงในความงามของสีแดงสดใสและรูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์ ดอกกระเจียวพบได้ทั่วไปในพื้นที่ชื้นแฉะและป่าดิบเขาของประเทศไทย และขึ้นชื่อในเรื่องความงดงามของสีสันและความอุดมสมบูรณ์ของทุ่งดอกกระเจียวที่บานสะพรั่งในฤดูฝน ดอกกระเจียว ดอกกระเจียวมีลักษณะลำต้นสูงประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นตั้งตรงและมีข้อปล้องชัดเจน ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับซับซ้อน ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปใบหอก และมีสีเขียวสดใส ดอกกระเจียวมีสีแดงสดหรือแดงอมม่วง กลีบดอกมีลักษณะเป็นกลีบดอกเดียว โดยมีกลีบดอกด้านบนมีลักษณะเป็นกระโจมหรือทรงหมวก กลีบดอกด้านล่างมักยาวกว่ากลีบดอกด้านบนและมีปลายแหลม ดอกกระเจียวมักบานสะพรั่งในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน ดอกกระเจียวเป็นดอกไม้ที่มีความหมายที่สำคัญในวัฒนธรรมไทย ดอกกระเจียวถือเป็นดอกไม้แห่งความรักและความซื่อสัตย์ ดอกกระเจียวมักถูกใช้เป็นของขวัญและเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความซื่อสัตย์ ดอกกระเจียวเป็นดอกไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย และมักใช้ในการจัดงานต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานเลี้ยง และงานเฉลิมฉลองต่างๆ ทุ่งดอกกระเจียว ทุ่งดอกกระเจียวเป็นทุ่งดอกไม้ที่เกิดขึ้นจากการเจริญเติบโตของดอกกระเจียวอย่างหนาแน่น ทุ่งดอกกระเจียวที่โด่งดังที่สุดในประเทศไทยได้แก่ ทุ่งดอกกระเจียวอุทยานแห่งชาติไทรทอง ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดชัยภูมิ ทุ่งดอกกระเจียวอุทยานแห่งชาติไทรทองมีพื้นที่กว่า 100 ไร่ และเป็นที่อยู่อาศัยของดอกกระเจียวกว่าล้านดอก ทุ่งดอกกระเจียวอุทยานแห่งชาติไทรทองบานสะพรั่งในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนของทุกปี ทุ่งดอกกระเจียวเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย นักท่องเที่ยวสามารถชมความงามของทุ่งดอกกระเจียวและถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึก ทุ่งดอกกระเจียวยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งในประเทศไทย ทุ่งดอกกระเจียวยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทยและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในช่วงฤดูฝน

สะระแหน่ สรรพคุณ และการปลูกสะระแหน่

สะระแหน่ สะระแหน่ เป็นพืชล้มลุกอายุสั้นที่มีกลิ่นหอมแรง ลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 30-60 เซนติเมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ รูปไข่หรือรูปใบหอก ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยเล็กๆ ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด กลีบดอกสีขาวหรือสีม่วงอ่อน ผลเป็นผลแห้ง สรรพคุณของสะระแหน่ ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ช่วยลดการอักเสบ ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ช่วยดับกลิ่นปาก การปลูกสะระแหน่ การเตรียมดิน: เลือกดินร่วนซุยที่มีความชื้นสูง การเตรียมพันธุ์: ใช้เมล็ดสะระแหน่ หรือใช้การปักชำกิ่ง การปลูก: การปลูกด้วยเมล็ด: โรยเมล็ดบนแปลงปลูกที่เตรียมไว้ แล้วกลบด้วยดินบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม การปลูกด้วยการปักชำกิ่ง: ตัดกิ่งสะระแหน่ที่มีความยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ปักลงในแปลงปลูกที่เตรียมไว้ รดน้ำให้ชุ่ม การดูแลรักษา: รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้ง ให้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักทุกๆ 1-2 เดือน กำจัดวัชพืชออกจากแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ […]

บอนเต่า บอนป่า ใช้ทำกับข้าว ปลูกเป็นไม้ประดับ และสรรพคุณเด่น

บอนเต่า บอนป่า เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี จัดอยู่ในวงศ์บอน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Xanthosoma violaceum Schott เป็นพืชที่มีเหง้าใต้ดิน เนื้อในของเหง้ามีสีขาวหรือเหลืองอ่อน แผ่นใบกว้างและแผ่อออก ใต้ใบมีสีม่วง มีเส้นใบชัดเจน การปลูกบอนเต่าเป็นได้ทั้งการปลูกในดินและในน้ำ โดยในน้ำจะเลี้ยงง่ายและเจริญเติบโตดีกว่า สีของใบจะเข้มเป็นพิเศษที่ปลูกตามริมน้ำหรือชายน้ำ บอนเต่านั้นใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ดังนี้ สามารถนำส่วนยอดของบอนเต่ามาใช้ทำอาหารได้ โดยการนำยอดมานึ่งหรือตำให้แหลกเพื่อใช้เป็นเครื่องปรุงอาหาร ซึ่งในยอดบอนเต่านั้นมีคุณค่าทางอาหารสูง โดยมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และวิตามินต่างๆ รวมถึงแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างฟอสฟอรัสและแคลเซียมอยู่เป็นจำนวนมาก บอนเต่ายังเป็นไม้ประดับที่มีลักษณะสวยงาม มีสีสันที่หลากหลาย จึงนิยมปลูกไว้เพื่อความสวยงามทั้งในสวนและในบ้าน ทั้งยังปลูกได้ง่ายและดูแลง่าย อีกทั้งทนต่อสภาพแวดล้อมและอากาศได้ดีสำหรับใครที่ชื่นชอบไม้ประดับที่มีใบสวยงามแปลกตานั้น ถือว่าบอนเต่าหรือบอนป่าต้นนี้เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียว ส่วนสรรพคุณทางยาของบอนเต่านั้น ก็มีมากมายหลายประการ เช่น ช่วยต้านการอักเสบ บรรเทาอาการปวดบวม แก้ไข้หวัด ลดอาการปวดหัว ท้องเดิน ถ่ายท้อง บำรุงร่างกาย บำรุงเลือด แก้โรคโลหิตจาง แก้โรคเบาหวาน บำรุงลำไส้ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในเลือด บำรุงหัวใจ ลดความดันสูง บำรุงผิวพรรณ ช่วยให้เปล่งปลั่ง สุขภาพดีดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ต่อต้านอนุมูลอิสระ สามารถฆ่าเชื้อโรค แก้โรคทางผิวหนัง […]