Tag Archives: พืชผัก

ไม้ผลรับประทาน

ผลไม้รับประทาน ผลไม้เป็นแหล่งวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อร่างกาย มีมากมายหลายชนิดให้เลือกบริโภค แต่ละชนิดก็มีรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้ ไม้ผลยืนต้น ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง ลำไย ละมุด มะม่วง แก้วมังกร ฯลฯ ไม้ผลล้มลุก ได้แก่ แตงโม สับปะรด กล้วย มะละกอ ฟักทอง ฯลฯ ไม้ผลเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินเอ โพแทสเซียม และแมกนีเซียม นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายได้อีกด้วย การรับประทานผลไม้เป็นประจำสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ร่างกายสดชื่น และมีสุขภาพแข็งแรง อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคผลไม้ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ เช่น อาการท้องเสีย อาหารไม่ย่อย หรือน้ำตาลในเลือดสูง

ปวยเล้ง/ปวยเหล็ง (spinach) สรรพคุณ และการปลูกปวยเล้ง

ปวยเล้ง/ปวยเหล็ง (Spinach) สรรพคุณของปวยเล้ง ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันภาวะตาเสื่อม เพราะอุดมไปด้วยลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องดวงตาจากการถูกทำลายของแสงสีฟ้า ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีส่วนช่วยป้องกันหวัดและไข้หวัดใหญ่ เพราะมีวิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน และโฟเลตช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคเบาหวานได้ มีส่วนช่วยให้ร่างกายผลิตอินซูลินได้ดีขึ้น ช่วยลดความดันโลหิตสูง ป้องกันหลอดเลือดแดงแข็ง โดยโพแทสเซียมในผักปวยเล้งจะช่วยควบคุมระดับความดันในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรงมีน้ำมีนวล เพราะผักปวยเล้งมีวิตามินซีและโฟเลตซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้มีสุขภาพดี ช่วยป้องกันภาวะเลือดจาง เพราะผักปวยเล้งมีธาตุเหล็กอยู่สูง จึงช่วยผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจางได้ ช่วยต่อต้านโรคมะเร็งบางชนิด โดยในผักปวยเล้งมีฟลาโวนอยด์และแคโรทีนอยด์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและเซลล์มะเร็ง การปลูกปวยเล้ง การปลูกปวยเล้งต้องเลือกพื้นที่ที่มีดินร่วนซุย มีการระบายน้ำที่ดี แดดรำไร ไม่จัดจนเกินไป ส่วนการดูแลนั้น ง่ายมาก แค่รดน้ำสม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเป็นประจำ และกำจัดวัชพืชออกเป็นครั้งคราว เพียงเท่านี้ก็จะได้ปวยเล้งสดๆ ไว้รับประทานเองที่บ้านได้แล้ว

ผักเขียด/ผักขาเขียด/ผักอฮิน ผักวัชพืชตามหนองนา และสรรพคุณเด่น

ผักเขียด/ผักขาเขียด/ผักอฮิน ผักวัชพืชตามหนองนา และสรรพคุณเด่น ผักเขียดหรือผักขาเขียดเป็นพืชน้ำที่พบได้ตามหนองนาและพื้นที่ชุ่มน้ำในเขตร้อนและกึ่งร้อนทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ผักเขียดมีหลายชนิด แต่ที่นิยมรับประทานกันมากที่สุดก็คือผักเขียดเผ็ดหรือผักเขียดนา (Persicaria hydropiper) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ผักเขียดเป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นกลวงและมีขนเล็กๆ ปกคลุมตลอดทั้งต้น ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันตามลำต้น รูปใบเป็นรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ขอบใบหยักมน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบหรือปลายยอด ช่อดอกเป็นแบบกระจะ มีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยมีขนาดเล็ก กลีบดอกสีขาวหรือสีชมพูอ่อน ผลเป็นผลแห้ง เมล็ดมีขนาดเล็ก สีดำ หรือสีน้ำตาล สรรพคุณทางยา ผักเขียดมีสรรพคุณทางยาหลายประการ ได้แก่ แก้ไอ แก้เจ็บคอ ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับลม แก้ปวดท้อง ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดไขมันในเลือด ช่วยลดน้ำหนัก ช่วยบำรุงผิวพรรณ และช่วยรักษาสิว ข้อควรระวัง ผักเขียดมีสารพิษที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้หากรับประทานในปริมาณมาก จึงควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม และไม่ควรรับประทานผักเขียดที่เก็บจากแหล่งน้ำที่อาจปนเปื้อนสารพิษ

ต้นจาก และประโยชน์ต้นจาก

ต้นจากและประโยชน์ของต้นจาก ต้นจากนั้นเป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Arenga ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะมลายู จนถึงตอนเหนือของออสเตรเลีย ต้นจากเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนชื้น มีลำต้นตรงสูงสามารถสูงได้ถึงกว่า 20 เมตร ใบมีลักษณะเป็นใบประกอบแบบขนนก โดยมีใบย่อยยาวประมาณ 1-2 เมตร เรียงตัวอยู่บนก้านใบ ต้นจากนั้นจัดเป็นพืชที่มีประโยชน์หลายประการ ได้แก่ เนื้อไม้: เนื้อไม้ของต้นจากนั้นมีความแข็งแรงทนทาน นิยมนำมาใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือน หรือเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ รวมถึงการทำไม้ค้ำยันต้นไม้ หรือใช้ทำเครื่องมือทางการเกษตรต่าง ๆ เช่น ด้ามจอบ ด้ามเสียม ด้ามเคียว เป็นต้น ใบ: ใบจากนั้นสามารถนำมาใช้ในการมุงหลังคาหรือทำเป็นฝาผนังบ้านเรือนได้ เนื่องจากใบจากมีความคงทน สามารถป้องกันแดดและฝนได้เป็นอย่างดี โดยในบางพื้นที่ยังมีการนำใบจากมาทำเป็นเครื่องจักสาน เช่น กระจาด ลัง หรือร่มอีกด้วย ดอก: ดอกจากนั้นมีกลิ่นหอม และสามารถนำมาใช้ทำเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มได้ โดยดอกจากนั้นสามารถนำมาต้มหรือลวก กินเป็นผักได้ หรือนำมาทำเป็นแกงก็ได้เช่นกัน ในบางพื้นที่ยังมีการนำดอกจากมาทำเป็นขนมหวาน เช่น ขนมดอกจาก โดยนำดอกจากมาลวกให้สุกแล้วนำไปคลุกกับกะทิ น้ำตาลทราย และเกลือเล็กน้อย ห่อด้วยใบตองแล้วนำไปนึ่งจนสุก ผล: ผลจากนั้นสามารถนำมากินได้ […]

ดอกดิน ใช้หุงนึ่งข้าว เด่นต้านมะเร็ง แก้ไอ ลดไข้ แก้โรคข้อกระดูก

ดอกดิน: ยาสมุนไพรไทยลดมะเร็ง แก้ไอ ลดไข้ แก้โรคข้อกระดูก ดอกดินเป็นดอกไม้ป่าชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทยว่ากันว่ามีสรรพคุณทางยาหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต้านมะเร็ง แก้ไอ ลดไข้ และแก้โรคข้อกระดูก สรรพคุณของดอกดิน ต้านมะเร็ง: ดอกดินมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่มีส่วนช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ แก้ไอ: ดอกดินมีฤทธิ์ช่วยลดอาการระคายเคืองและต้านการอักเสบ ทำให้ช่วยบรรเทาอาการไอได้ ลดไข้: ดอกดินมีฤทธิ์ช่วยลดไข้ โดยออกฤทธิ์ทำให้ร่างกายขับเหงื่อ ทำให้ไข้ลดลง แก้โรคข้อกระดูก: ดอกดินมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยลดอาการปวด ทำให้ช่วยบรรเทาอาการของโรคข้อกระดูก วิธีใช้ดอกดิน ต้านมะเร็ง: นำดอกดินแห้ง 3-5 กรัม มาต้มกับน้ำ 1 แก้ว ดื่มก่อนอาหาร 2 ครั้งต่อวัน แก้ไอ: นำดอกดินแห้ง 1 กำมือ มาต้มกับน้ำ 1 แก้ว ดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 2-3 ครั้ง ลดไข้: นำดอกดินแห้ง 3-5 กรัม มาต้มกับน้ำ […]

เพกา/ลิ้นฟ้า สรรพคุณ และการปลูกเพกา

เพกา (Peaches) | ลิ้นฟ้า เพกา หรือลิ้นฟ้า (Baccaurea ramiflora Lour.) เป็นผลไม้เขตร้อนที่มีรสชาติอร่อยและมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์ Phyllanthaceae มีต้นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะเป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีความสูงได้ถึง 15 เมตร ลำต้นมีสีน้ำตาลเข้ม เปลือกต้นเรียบ ผลเพกาเป็นผลไม้ที่มีลักษณะกลมรี มีขนาดเล็กประมาณ 1-2 เซนติเมตร มีสีเขียวหรือสีแดง เนื้อผลมีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน สรรพคุณของเพกา บำรุงร่างกาย แก้อ่อนเพลีย ผลเพกามีสารอาหารต่างๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกาย แก้อ่อนเพลีย เช่น วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน และแร่ธาตุต่างๆ ช่วยย่อยอาหาร เพกาช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและช่วยเร่งการทำงานของลำไส้ จึงช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหารได้ดีขึ้น ช่วยลดน้ำหนัก เป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำ มีกากใยสูง ช่วยให้อิ่มท้องได้นาน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ช่วยลดการอักเสบ เพกาอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ จึงช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคข้อเสื่อม […]

การปลูกฝรั่ง

การปลูกฝรั่ง การเตรียมดิน ไถดะ โดยไถลึกประมาณ 30 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ เพื่อกำจัดวัชพืชและโรคพืช ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 1-2 ตันต่อไร่ ไถพรวนดินอีกครั้งโดยไถลึกประมาณ 20 เซนติเมตร พร้อมกับใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ รดน้ำให้ชุ่ม การปลูก ปลูกฝรั่งในช่วงฤดูฝน โดยขุดหลุมปลูกกว้าง 50 เซนติเมตร ลึก 50 เซนติเมตร นำกิ่งพันธุ์ฝรั่งลงหลุมปลูก แล้วกลบดินให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม ปักไม้ค้ำต้นฝรั่งเพื่อช่วยพยุงต้น การดูแลรักษา รดน้ำฝรั่งอย่างสม่ำเสมอ โดยให้น้ำประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ ทุกๆ 3-4 เดือน ตัดแต่งกิ่งฝรั่งเพื่อให้ต้นไม่สูงจนเกินไป และเพื่อให้ทรงพุ่มโปร่ง ป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช การเก็บเกี่ยว ฝรั่งจะเริ่มติดผลในช่วงฤดูหนาว โดยจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ผลฝรั่งจะแก่จัดในช่วงที่เปลือกเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือเหลือง เก็บเกี่ยวฝรั่งโดยใช้กรรไกรตัดก้านผลแล้วนำไปวางในภาชนะที่สะอาด

แสมดำ ประโยชน์ และสรรพคุณแสมดำ

แสมดำ แสมดำ เป็นพืชที่มีถาอยู่ทั่วไปตามชายฝั่งทะเลและปากแม่น้ำในประเทศไทย เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีใบหนาและเป็นมันวาว มักขึ้นเป็นป่าหนาและมักถูกใช้เป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำและนกต่างๆ นอกจากนี้ แสมดำยังมีคุณค่าทางเศรษฐเกน จากเปลือกและใบที่ใช้เป็นส่วนผสมในยาและอาหาร มีสรรพคุณทางยาหลายประการ เช่น ช่วยบำรุงร่างกาย แก้ไข้ แก้ท้องเสีย และช่วยรักษาแผล ประโยชน์และสรรพคุณของแสมดำ ช่วยบำรุงร่างกาย: แสมดำมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและช่วยชะลอวัย นอกจากนี้ ยังมีกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและช่วยป้องกันโรคต่างๆ แก้ไข้: ต้มใบแสมดำดื่ม ช่วยแก้ไข้ ลดไข้ แก้ท้องเสีย: ต้มเปลือกแสมดำดื่ม ช่วยแก้ท้องเสีย อาเจียน ช่วยรักษาแผล: นำเปลือกแสมดำมาต้มแล้วใช้ล้างแผล ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น รักษาโรคติดเชื้อ: สารสกัดจากแสมดำมีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราต่างๆ จึงสามารถนำมาใช้รักษาโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคหนองใน และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ยาระบาย: เมื่อแช่นน้ำในใบแสมดำเป็นเวลานานๆ จะทำให้น้ำใบแสมดำมีสารที่ช่วยระบาย ใช้ในงานเกษตรกรรม: มีผู้ใช้ใบแสมดำที่ร่วงหล่นไปหมักทำเป็นปุ๋ยสำหรับนาข้าวและเก็บรักษาเป็นอาหารให้วัวควายในช่วงหน้าหนาว

นนทรี ประโยชน์ และสรรพคุณนนทรี

นนทรี นนทรี (Tamarindus indica) เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ในตระกูล Fabaceae มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกามาถึงเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคโบราณ คนไทยเรารู้จักและใช้ประโยชน์จากต้นนนทรีมาเป็นเวลานาน ครอบคลุมเกือบทุกส่วนของต้น ประโยชน์ ใบนนทรี ช่วยรักษาฝี ฝ้า หนอง หรือแผลเป็นได้โดยใช้ใบแก่ 3-5 ใบ นำมาลนไฟให้ร้อนแล้วนำมาตำให้ละเอียด จากนั้นใช้พอกบริเวณแผลโดยตรง แก้ปวดหัว เป็นหวัด โดยใช้ใบแก่นำมาทำเป็นน้ำสมุนไพรดื่มครั้งละ 1 แก้ว แก้ริดสีดวงทวาร นำใบแก่ประมาณ 20 ใบล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปต้มกับน้ำจนเดือด ประมาณ 10 นาที จากนั้นนำน้ำที่ได้มาดื่มและทาบริเวณหัวริดสีดวง เมล็ดนนทรี ใช้แก้ท้องเสีย โดยใช้เมล็ดแก่ 3-5 เมล็ด นำมาคั่วให้แห้ง แล้วนำไปบดเป็นผง จากนั้นผสมกับน้ำแล้วดื่มครั้งละ 1/2 แก้ว ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง โดยใช้เมล็ดแก่ 10 เมล็ด คั่วให้แห้งแล้วนำไปบดเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งพอข้นแล้วรับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา แก้โรคเริม โดยใช้เมล็ดแก่ที่คั่วแล้วนำมาบดจนละเอียด ผสมกับน้ำซับให้พอข้น […]

บานบุรี สรรพคุณ และการปลูกบานบุรี

บานบุรี บานบุรีเป็นไม้ดอกที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของอเมริกาใต้และเม็กซิโก โดยดอกบานบุรีมีหลากสีสัน เช่น สีชมพู สีแดง สีเหลือง และสีขาว บานบุรีมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย และสามารถปลูกได้ง่ายในหลายพื้นที่ของประเทศไทย สรรพคุณของบานบุรี ช่วยลดอาการไข้หวัดใหญ่ และอาการไอ ช่วยลดอาการอักเสบ และอาการปวด ช่วยแก้อาการท้องร่วง ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือน ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดไขมันในเลือด ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง การปลูกบานบุรี บานบุรีสามารถปลูกได้ง่ายในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยการปลูกบานบุรีสามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ด หรือการปักชำกิ่ง โดยการเพาะเมล็ดนั้น ให้ใช้เมล็ดที่แก่จัดและสมบูรณ์ แล้วนำไปแช่น้ำอุ่นประมาณ 2-3 ชั่วโมง จากนั้นนำไปเพาะในกระถางหรือแปลงเพาะกล้า โดยใช้ดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี รดน้ำให้ชุ่มและวางไว้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง เมื่อกล้าบานบุรีมีใบจริงประมาณ 3-4 ใบ ก็สามารถย้ายปลูกลงดินได้ โดยควรปลูกในดินร่วนปนทรายเช่นเดียวกัน และควรเว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 1-2 เมตร เพื่อให้ต้นบานบุรีมีพื้นที่ในการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ บานบุรีเป็นไม้ดอกที่มีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย และสามารถปลูกได้ง่ายในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยการปลูกบานบุรีสามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ด หรือการปักชำกิ่ง ผู้ที่สนใจปลูกบานบุรีสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น หนังสือ เกษตรกร หรืออินเทอร์เน็ต