Author Archives: kct

พลับพลึงธาร/หญ้าช้อง/หอมน้ำ พืชน้ำที่พบแห่งเดียวบนโลก

พลับพลึงธาร/หญ้าช้อง/หอมน้ำ พืชน้ำที่พบแห่งเดียวบนโลก พลับพลึงธาร หรือ หญ้าช้อง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Blyxa japonica) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า พลับพลึงน้ำ เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่งในวงศ์ Hydrocharitaceae ซึ่งเป็นพืชน้ำตระกูลเดียวกันกับกระจูด สาหร่ายขนนก คะน้าญี่ปุ่น และสาหร่ายจอก ต้นพลับพลึงธารมีลักษณะลำต้นเป็นเหง้าสั้นใต้พื้นน้ำ ใบเป็นรูปใบหอกยาว เรียงซ้อนสลับกันไปคล้ายดอกกุหลาบ มีดอกสีม่วงอ่อน ออกเป็นกระจุกตามซอกใบ ผลเป็นทรงรีมีเมล็ดหลายเมล็ด พบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำ เช่น บึง หนอง คลอง บริเวณที่มีน้ำใสสะอาดและมีแดดส่องถึง มีความแปลกของดอกที่ออกหันหน้าขึ้นสู่ผิวน้ำในตอนกลางวัน และจะหุบลำตัวกลับลงใต้ดินในตอนเย็น ประโยชน์ พลับพลึงธารเป็นพืชน้ำที่นิยมนำมาปลูกเพื่อความสวยงามในบ่อบัว บ่อปลา เพราะมีรูปทรงที่สวยงามและดอกมีสีสันที่สดใส นอกจากนี้แล้ว พลับพลึงธารยังมีสรรพคุณทางยา โดยเหง้านำมาตุ๋นกับน้ำจนเปื่อยแล้วคั้นเอาแต่น้ำ แบ่งรับประทานครั้งละ 1 ช้อนแกง จะช่วยแก้อาการโรคหอบ หอบหืด และช่วยขับเสมหะได้ ส่วนรากนำมาคั้นเอาน้ำดื่ม จะช่วยแก้อาการโรคไตอักเสบได้ ความน่าสนใจ พลับพลึงธารเป็นพืชน้ำที่พบเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโต จึงทำให้เป็นพืชที่หายากและมีคุณค่าสูง

แสมดำ ประโยชน์ และสรรพคุณแสมดำ

แสมดำ ประโยชน์ และสรรพคุณแสมดำ แสมดำ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Bruguiera gymnorrhiza) เป็นพืชในวงศ์ Rhizophoraceae เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูงได้ถึง 20 เมตร ลำต้นมีสีดำ เปลือกมีรสฝาดเล็กน้อย ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามแบบไขว้ รูปไข่ขอบขนานหรือรูปไข่กลับ ปลายใบแหลม โคนใบมน ก้านใบยาว เนื้อใบหนา สีเขียวเข้ม ออกดอกเป็นช่อ ดอกเพศผู้มีกลีบดอก 4 กลีบ ดอกเพศเมียมีกลีบดอก 8 กลีบ ผลสดมี 1 เมล็ด รูปร่างคล้ายตัว S แสมดำเป็นพืชที่ขึ้นอยู่ในป่าชายเลน สามารถทนทานต่อน้ำทะเลและดินเค็มได้ดี จึงนิยมนำมาปลูกเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง แสมดำเป็นแหล่งหากินของสัตว์น้ำต่างๆ และเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนอีกด้วย ประโยชน์ของแสมดำ ใช้เป็นฟืนและไม้เผา แสมดำเป็นไม้ที่มีเนื้อแข็งจึงสามารถนำมาใช้เป็นฟืนและไม้เผาได้ดี ใช้ในการก่อสร้าง แสมดำเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงทนทาน จึงนิยมนำมาใช้ในการก่อสร้าง เช่น ทำเสาบ้าน ทำสะพาน ทำท่าเรือ เป็นต้น ใช้ในการทำเครื่องมือเครื่องใช้ แสมดำสามารถนำมาใช้ในการทำเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เช่น ทำด้ามขวาน ทำด้ามมีด […]

การปลูกขิงแดง ขิงประดับ

การปลูกขิงแดง ขิงประดับ ขิงแดง และขิงประดับ เป็นพืชตระกูลเดียวกับขิง แต่มีลักษณะและการใช้งานที่แตกต่างกัน ขิงแดงมีหัวสีแดงสด นิยมนำมาประกอบอาหาร ขณะที่ขิงประดับมีหัวสีชมพูอ่อนถึงแดงสด มีกลิ่นหอมแรง นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ขั้นตอนการปลูกขิงแดง ขิงประดับ ขิงแดง และขิงประดับสามารถปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด แต่เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี มีความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ 6.0-6.8 มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน เลือกหัวพันธุ์ขิงแดง ขิงประดับที่มีขนาดใหญ่ สมบูรณ์ ไม่มีรอยแผลหรือโรคพืช แช่หัวพันธุ์ในน้ำสะอาดประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้หัวพันธุ์ดูดซับน้ำและงอกเร็วขึ้น ไถพรวนดินให้ร่วนซุย ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อตารางเมตร จากนั้นยกร่องปลูกให้มีความกว้างประมาณ 30 เซนติเมตร และลึกประมาณ 10 เซนติเมตร วางหัวพันธุ์ขิงแดง ขิงประดับลงในร่องปลูก โดยให้ยอดหันขึ้นด้านบน และเว้นระยะห่างระหว่างหัวพันธุ์ประมาณ 20-30 เซนติเมตร กกลบดินกลบหัวพันธุ์ให้มิด รดน้ำให้ชุ่ม การดูแลรักษาขิงแดง ขิงประดับ หลังจากปลูกขิงแดง ขิงประดับแล้ว ควรหมั่นดูแลรักษา ดังนี้ รดน้ำให้สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ควรรดน้ำอย่างน้อยวันละ […]

ถั่วลันเตา สรรพคุณ และการปลูกถั่วลันเตา

ถั่วลันเตา ถั่วลันเตา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Pisum sativum L.) เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลถั่ว มีชื่อสามัญอื่นๆ ได้แก่ ถั่วลันเตาฝักแบน ถั่วลันเตาอ่อน ถั่วแขก และถั่วรอด เป็นพืชผักที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทยและทั่วโลก มีการใช้ประโยชน์จากทั้งฝักอ่อนและเมล็ดแก่ นอกจากนี้ ถั่วลันเตายังมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลายทั้งในฝักอ่อนและเมล็ดแก่ สรรพคุณ ฝักอ่อน: แก้โรคเบาหวาน: ถั่วลันเตาฝักอ่อนมีดัชนีน้ำตาลต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ลดความดันโลหิต: ถั่วลันเตาฝักอ่อนมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย: ถั่วลันเตาฝักอ่อนมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น บำรุงสายตา: ถั่วลันเตาฝักอ่อนมีวิตามินเอและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยบำรุงสายตาและป้องกันโรคตาต่างๆ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: ถั่วลันเตาฝักอ่อนมีวิตามินซีสูง ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย จึงช่วยป้องกันหวัดและโรคต่างๆ ได้ เมล็ดแก่: ลดคลอเรสเตอรอล: ถั่วลันเตาเมล็ดแก่มีไฟเบอร์และสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด บำรุงหัวใจ: ถั่วลันเตาเมล็ดแก่มีโฟเลตสูง ซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยบำรุงหัวใจและป้องกันโรคหัวใจ ช่วยให้อิ่มเร็ว: ถั่วลันเตาเมล็ดแก่มีโปรตีนและไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้อิ่มเร็วและช่วยลดความอยากอาหาร จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ควบคุมน้ำตาลในเลือด: ถั่วลันเตาเมล็ดแก่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การปลูกถั่วลันเตา เลือกพื้นที่ปลูก: ถั่วลันเตาเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด […]

จอก (water Lettuce) จอกหูหนู ประโยชน์ และสรรพคุณจอก

จอก (Water Lettuce) จอกหูหนู ประโยชน์ และสรรพคุณจอก จอก (Water Lettuce) คืออะไร จอกหรือจอกหูหนู มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Pistia stratiotes เป็นพืชลอยน้ำที่พบได้ในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก จอกมักจะขึ้นปกคลุมผิวน้ำในบ่อน้ำ หนองน้ำ และแหล่งน้ำที่นิ่งอื่นๆ ลำต้นของจอกมีขนาดเล็กและสั้น ใบของจอกมีลักษณะเป็นแผ่นกลมแบนคล้ายหูหนู ลักษณะใบเป็นกลมแบนสีเขียวอ่อน เนื้อฟองน้ำอวบน้ำ เป็นร่องคล้ายใบหูหนู พืชลอยน้ำที่รากของมันห้อยลงไปในน้ำ แต่ไม่เกาะอยู่ในดิน ประโยชน์ และสรรพคุณของจอก ประโยชน์ของจอก จอกสามารถช่วยในการบำบัดน้ำเสีย โดยการดูดซับสารพิษและโลหะหนักในน้ำ จอกสามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมูและเป็ด จอกสามารถปลูกเป็นไม้ประดับในบ่อน้ำหรือตู้ปลา จอกสามารถใช้ในงานหัตถกรรมต่างๆ เช่น การทำดอกไม้ประดิษฐ์และตะกร้า สรรพคุณทางยาของจอก ใบของจอกมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต จอกมีสรรพคุณช่วยแก้อาการท้องเสีย จอกมีสรรพคุณช่วยแก้อาการปวดหัว จอกมีสรรพคุณช่วยแก้พิษต่างๆ จอกมีสรรพคุณช่วยแก้อาการอักเสบ

โลดทะนงแดง ทานอาเจียน เด่นช่วยผิวขาว ขัดเซลล์ผิว ลดรอยหมองคล้ำ

โลดทะนง ชุดแดง ทานอาเจียน เด่นช่วย ทั้งผิวขาว ขัดเซลล์ ลดรอยหมองคล้ำ โลดทะนงเป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยาหลายประการ ทั้งการรับประทานในรูปของผักสดและใช้หัวสดกินเป็นยาพอก นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาไทยต่างๆ ได้อีกเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือการใช้โลดทะนงในสูตรลดน้ำหนักที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด โดยทำมาเป็นยาสมุนไพรโลดทะนงสีแดงที่จะมีสรรพคุณช่วยลดน้ำหนัก ลดไขมันส่วนเกินทั่วร่างกาย นอกจากปัญหาเรื่องของน้ำหนักแล้วยาสมุนไพรโลดทะนงสีแดงเองก็ได้มีสรรพคุณที่โดดเด่นไม่แพ้กันทั้งช่วยขจัดรอยหมองคล้ำบนใบหน้า ลดการหลุดล่วงของเส้นผม กระตุ้นการขับถ่ายขับพิษในร่างกาย รวมไปถึงเหมาะสำหรับคนที่ตั้งใจจะมีบุตร เพราะมีสรรพคุณช่วยบำรุงทั้งบำรุงโลหิต ให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ส่วนสตรีหลังคลอดก็สามารถใช้ปรับสมดุลในร่างกาย ลดอาการปวดเมื่อยหลังคลอด รวมไปถึงเยียวยาแผลด้วยการพอกยา รู้จัก “โลดทะนงแดง” ก่อนนำมารับประทาน โลดทะนงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับต้นกระชายมาก ต้นเป็นทรงรูปใบหอก ดอกสีขาวหรือสีชมพูขนาดเล็ก ดอกจะรวมเป็นช่อที่อยู่ระหว่างกลางใบ ต้นจะมีความสูงตั้งแต่ 30-70 เซนติเมตร โดยจะเป็นกลุ่มอยู่รวมกันออกดอกหลายช่อที่ปลายยอดหรือซอกใบ ขยายพันธุ์ด้วยหัวหรือเหง้าและเมล็ด โลดทะนงมีสีแดงหรือสีชมพู ทั้งที่ดอก หัว หรือผล บางต้นก็อาจเป็นสีขาว หรือออกสีน้ำเงินดำด้วย เหง้าของต้นจะมีกลิ่นหอมเล็กน้อย จึงถูกนำมาใช้ทั้งปรุงอาหารเป็นผักรสเผ็ด เฉพาะสำหรับพันธุ์ที่มีสีชมพูหรือสีแดง หัวมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรมากกว่าสีอื่นๆ หรือโลดทะนงขาว ส่วนที่รับประทานได้มี 2 ส่วน หัวใต้ดิน รูปร่างลักษณะคล้ายหัวกระชายแต่ขนาดเล็กกว่า และมีสีจากแดงไปจนถึงม่วงแล้วแต่สายพันธุ์ ใบ รูปร่างคล้ายใบพลูขนาดย่อม ใช้ทำอาหารได้ […]

แอปเปิ้ล สรรพคุณ และการปลูกแอปเปิ้ล

แอปเปิ้ล แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณหลากหลาย เช่น ช่วยลดความดันโลหิตสูง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง ช่วยบำรุงหัวใจ ให้พลังงาน ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดีขึ้น ช่วยในเรื่องระบบทางเดินอาหาร ช่วยรักษาโรคเหน็บชา ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยชะลอวัย ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังสามารถปลูกได้ง่าย จึงเป็นที่นิยมของเกษตรกรจำนวนมาก ซึ่งขั้นตอนการปลูกแอปเปิ้ลมีดังนี้ เตรียมดิน: แอปเปิ้ลชอบดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี และมีค่า pH ระหว่าง 6.0-7.5 ขุดหลุมปลูก: ขุดหลุมขนาดกว้าง 1 เมตร ลึก 1 เมตร ใส่ปุ๋ยรองพื้น: ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไปในหลุมปลูก นำต้นแอปเปิ้ลลงหลุมปลูก: วางต้นแอปเปิ้ลลงในหลุมปลูก แล้วกลบดินให้แน่น รดน้ำ: รดน้ำให้ชุ่ม การป้องกันและกำจัดโรคแมลง: จำเป็นต้องดูแลป้องกันและกำจัดโรคแมลงศัตรูอย่างสม่ำเสมอ แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและมีสรรพคุณมากมาย ดังนั้นจึงนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก หากท่านต้องการปลูกแอปเปิ้ลเพื่อบริโภคเองหรือขายก็สามารถทำได้โดยปฏิบัติตามขั้นตอนข้างต้นได้เลย ขอให้ท่านโชดดีในการปลูกแอปเปิ้ล และขอให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงครับ

ตะไคร้ ใบตะไคร้ ประโยชน์ และสรรพคุณตะไคร้

ตะไคร้ ตะไคร้ (Cymbopogon citratus) เป็นพืชสมุนไพรที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลำต้นยาวเรียว ปลายใบแหลม มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ตะไคร้มีประโยชน์และสรรพคุณมากมาย โดยสามารถใช้ทั้งใบ ลำต้น และราก ใบตะไคร้ ใบตะไคร้มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และมีรสชาติเผ็ดเล็กน้อย จึงนิยมนำมาใช้เป็นเครื่องเทศหรือปรุงอาหารต่างๆ โดยเฉพาะในอาหารไทยและอาหารเวียดนาม ใบตะไคร้ยังมีสรรพคุณทางยา โดยสามารถช่วยบรรเทาอาการต่างๆ เช่น อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาการจุกเสียดแน่นท้อง อาการปวดประจำเดือน อาการปวดศีรษะ อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาการไข้หวัด สรรพคุณตะไคร้ ตะไคร้มีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย โดยสามารถใช้รักษาโรคต่างๆ ได้ทั้งภายในและภายนอก ดังนี้ แก้ไข้ แก้หวัด: ตะไคร้มีฤทธิ์ช่วยลดไข้ แก้หวัด บรรเทาอาการไอ และละลายเสมหะได้ดี บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ: ตะไคร้มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุดเสียดแน่นท้อง และช่วยขับลมได้ดี แก้ปวดประจำเดือน: ตะไคร้มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน แก้เกร็งกล้ามเนื้อมดลูก และทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น แก้ปวดศีรษะ: ตะไคร้มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ดี โดยเฉพาะอาการปวดศีรษะจากการปวดประจำเดือน หรืออาการปวดศีรษะจากความเครียด แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ: ตะไคร้มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ดี โดยเฉพาะอาการปวดเมื่อยจากการทำงานหนักหรือการออกกำลังกาย […]

บอนเต่า บอนป่า ใช้ทำกับข้าว ปลูกเป็นไม้ประดับ และสรรพคุณเด่น

บอนเต่า บอนป่า พืชทั้งใช้ทำกับข้าว ปลูกเป็นไม้ประดับ และสรรพคุณเด่น บอนเต่า หรือบอนป่า เป็นพืชล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะเด่นของบอนเต่าอยู่ที่ใบที่มีขนาดใหญ่และมีลวดลายสีเขียวเข้มสลับกับสีเขียวอ่อนสวยงาม โดยทั่วไปแล้ว บอนเต่าสามารถเจริญเติบโตได้สูงถึง 1-2 เมตร มักพบในพื้นที่ชุ่มน้ำหรือริมป่า การใช้ประโยชน์ ทำกับข้าว: บอนเต่าเป็นพืชที่สามารถนำมาใช้ประกอบอาหารได้ โดยเฉพาะใบอ่อนที่สามารถนำมาต้ม ผัด แกง หรือทอดได้ ส่วนก้านใบสามารถนำมาทำแกงส้มได้เช่นกัน นอกจากนี้ บอนเต่ายังเป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ จึงดีต่อสุขภาพอีกด้วย ปลูกเป็นไม้ประดับ: ด้วยความที่บอนเต่ามีใบที่มีลวดลายสวยงาม จึงมักถูกนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน อีกทั้งยังมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ จึงเป็นพืชที่ดูแลรักษาง่ายอีกด้วย สรรพคุณเด่น: นอกจากการใช้ประโยชน์ในด้านอาหารและไม้ประดับแล้ว บอนเต่ายังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย เช่น รักษาอาการท้องเสีย: โดยการนำใบบอนเต่ามาต้มน้ำแล้วดื่ม รักษาแผลอักเสบ: โดยการนำใบบอนเต่ามาตำแล้วพอกแผล บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ: โดยการนำใบบอนเต่ามาต้มน้ำแล้วอาบ รักษาโรคผิวหนัง: เช่น กลาก เกลื้อน โดยการนำใบบอนเต่ามาต้มน้ำแล้วใช้ล้างบริเวณที่เป็น จะเห็นได้ว่า บอนเต่าเป็นพืชที่มีประโยชน์หลากหลาย ทั้งในด้านอาหาร ไม้ประดับ และสรรพคุณทางยา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บอนเต่าเป็นพืชที่เป็นที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย

ชงโค สรรพคุณ และการปลูกชงโค

ชงโค สรรพคุณ และวิธีปลูก ชงโค เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กที่พบได้ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ใบของชงโคมีขนาดใหญ่และมีขน ขอบใบหยักฟันเลื่อย ดอกของชงโคมีสีขาวหรือสีชมพูอ่อน มีกลิ่นหอม ผลของชงโคมีขนาดเล็กและมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะมีสีแดง ชงโคมีสรรพคุณทางยาหลากหลาย เช่น ช่วยลดไข้ ช่วยแก้ท้องเสีย ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยรักษาโรคผิวหนัง ช่วยขับพยาธิ ช่วยรักษามะเร็ง การปลูกชงโค ชงโคสามารถปลูกได้ทั้งในดินและในกระถาง โดยมีวิธีการปลูกดังนี้ การเตรียมดิน ดินที่ใช้ปลูกชงโคควรเป็นดินร่วนซุยที่มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถระบายน้ำได้ดี การเตรียมต้นกล้า ต้นกล้าชงโคสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ดหรือการปักชำ โดยการเพาะเมล็ดสามารถทำได้โดยการนำเมล็ดชงโคไปแช่น้ำอุ่นประมาณ 30 นาที จากนั้นนำไปเพาะในแปลงเพาะ โดยให้เมล็ดอยู่ลึกลงไปในดินประมาณ 1 เซนติเมตร ส่วนการปักชำสามารถทำได้โดยการตัดกิ่งชงโคที่มีความยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร จากนั้นนำไปปักชำในแปลงชำ โดยให้กิ่งชงโคอยู่ลึกลงไปในดินประมาณ 5-7 เซนติเมตร การปลูก เมื่อต้นกล้าชงโคมีอายุประมาณ 3-4 เดือน ก็สามารถนำไปปลูกในดินหรือในกระถางได้ โดยให้ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 1-2 เมตร สำหรับการปลูกในดิน ให้ขุดหลุมปลูกที่มีความลึกและกว้างประมาณ 30 เซนติเมตร […]