ส้มโอ (pomelo) สรรพคุณ และการปลูกส้มโอ

ส้มโอ

ส้มโอ (Pomelo) เป็นผลไม้เมืองร้อนที่มีลักษณะเปลือกหนา และมีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย จีน เวียดนาม และมาเลเซีย ส้มโอนั้นมีหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่นิยมรับประทานกันในประเทศไทยได้แก่ ส้มโอขาวน้ำผึ้ง ส้มโอทับทิม ส้มโอทองดี ส้มโอหวาน และส้มโอนอก

สรรพคุณของส้มโอ

1. อุดมไปด้วยวิตามินซี: ส้มโอเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และยังมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคหวัดอีกด้วย
2. ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ: ส้มโอมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้
3. ช่วยลดน้ำหนัก: ส้มโอมีแคลอรี่ต่ำ และมีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องได้นาน และยังช่วยลดความอยากอาหารได้
4. ช่วยบำรุงผิว: ส้มโอมีวิตามินซีและคอลลาเจนที่ช่วยบำรุงผิวให้เปล่งปลั่งสดใส และยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้อีกด้วย
5. ช่วยแก้อาการท้องผูก: ส้มโอมีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้
6. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด: ส้มโอมีสารเพกตินที่ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด จึงช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
7. ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง: ส้มโอมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้

การปลูกส้มโอ

1. การเลือกพื้นที่ปลูก: ส้มโอชอบดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีการระบายน้ำที่ดี พื้นที่ปลูกควรมีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
2. การเตรียมดิน: ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 30-40 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไปตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 15 วัน แล้วจึงไถพรวนอีกครั้ง
3. การปลูก: ขุดหลุมปลูกขนาด 60x60x60 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไปรองก้นหลุม นำต้นกล้าส้มโอล้างรากแล้วนำไปปลูกในหลุม กลบดินแล้วรดน้ำให้ชุ่ม
4. การดูแลรักษา: รดน้ำส้มโออย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 2-3 ครั้ง กำจัดวัชพืชและตัดแต่งกิ่งส้มโอเป็นประจำ
5. การเก็บเกี่ยว: ส้มโอจะใช้เวลาประมาณ 10-12 เดือนจึงจะเก็บเกี่ยวได้ ส้มโอจะแก่เต็มที่เมื่อเปลือกมีสีเหลืองทอง และมีกลิ่นหอม เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วควรนำส้มโอล้างทำความสะอาดและนำไปผึ่งให้แห้งก่อนนำไปบริโภคหรือจำหน่าย